- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 05 October 2016 16:57
- Hits: 1972
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ราคาน้ำมันฟื้นตัวมากกว่าคาด และเชื่อว่าปัจจัยแวดล้อมยังกดดันให้ Fed เลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยฯ ออกไป ยังใช้กลยุทธ์ถือเงินสด 70% และ 30% ให้สะสมหุ้นกำไรเด่นงวด 2H59 (WHA) และปันผลสูง (ASK, MCS, HANA) Top picks คือ WHA([email protected]) และ PTTEP(FV@100) ราน้ำมันฟื้นตัวมากกว่าคาด
(+) อินเดียลดดอกเบี้ยฯ ผิดคาด บ่งบอกนโยบายการเงินอ่อนตัวยังจำเป็น
วานนี้ ธนาคารกลางอินเดีย ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps เหลือ 6.25% ต่ำสุดในรอบ 5 ปี (แต่ยังคง RRR ระดับ 4% ตั้งแต่ปี 2556 เป็นการประชุมครั้งแรกของนาย Urjit Patel ประธานธนาคารกลางคนใหม่ที่ได้รับตำแหน่งในเดือน ก.ย.) ต่างจากตลาดคาด ซึ่งเป็นผลจากความกังวลต่อเศรษฐกิจโลก และเงินรูปีที่แข็งค่า ราว 3.3% (จากจุดอ่อนค่าสูงสุด) เป็นอุปสรรคต่อภาคส่งออก แม้อัตราเงินเฟ้อยังสูง (เดือน ก.ย. เงินเฟ้อลดลงต่ำสุดในรอบ 5 เดือน สู่ 5.3%) แต่เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูมรสุม ทำให้เริ่มมีฝนตกในหลายภูมิภาค จะทำให้ผลผลิตเกษตรออกสู่ตลาดมากขึ้น แรงกดดันเงินเฟ้อน่าจะลดลง ตอกย้ำว่าการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายทั่วโลกยังมี ตราบที่เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงจากBrexit
สะท้อนมุมมองของ IMF ล่าสุด แม้ยังค
GDP Growth ปีนี้ที่ 3.1% และปี 2560 ที่ 3.4% (สูงกว่า Worldbank ที่คาด 2.4% ในปีนี้และ 2.8% ในปี 2560) แต่ปรับเปลี่ยนบางประเทศปี 2559 กล่าวคือ ประเทศพัฒนาแล้ว เพิ่ม ญี่ปุ่น 0.2% มาอยู่ที่ 0.5% ยุโรปและอังกฤษ เพิ่มประเทศละ 0.1% มาที่ 1.7% และ 1.8% ตามลำดับ ยกเว้นเพียงสหรัฐที่ปรับลง 0.6% เหลือ 1.6% และประเทศผู้ผลิตน้ำมัน คือ รัสเซีย ปรับเพิ่ม 0.4% แต่ยังติดลบ 0.8% ไนจีเรีย ปรับเพิ่ม 0.1% แต่ยังติดลบ 1.7% (คงซาอุดิอาระเบีย1.2%) และประเทศแถบเอเซีย คืออินเดีย ปรับเพิ่ม 0.2% อยู่ที่ 7.6% (เติบโตสูงสุดในเอเซีย) และยังคงจีน และประเทศในอาเซียนที่ 6.6% และ 4.8% ตามลำดับ
การปรับลด GDP ของสหรัฐดังกล่าว ประกอบกับดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่ยังขัดแย้งกัน คือ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (ม.มิชิแกน) เดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 1.6% อยู่ที่ 91.2 จุด (สูงสุดตั้งแต่ มิ.ย.59) เช่นเดียวกับดัชนีภาคการผลิตของสถาบัน ISM (ISM Manufactuing PMI) เพิ่มขึ้น 4.25%mom อยู่ที่ระดับ 51.5 จุด แม้จะสวนทางกับ ยอดค้าปลีก (Retail sales) และดัชนี PMI ภาคบริการ (ISM Non-Manufacturing) ในเดือนเดียวกัน ที่พลิกกลับมาติดลบครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ยังคงตอกย้ำโอกาส Fed ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ แม้ผลสำรวจ Fed Fund Future ล่าสุดโอกาสขึ้นดอกเบี้ยรอบ 13-14 ธ.ค.ยังมีน้ำหนักสูงสุด 61.2% (ขณะที่ รอบ 1-2 พ.ย. ราว 21%)
(+) ครม. หนุนนิคมอุตสาหกรรมตะวันออก ดีต่อ WHA, AMATA
วานนี้ ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development หรือ EEC) ซึ่งประกอบด้วย 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง โดยสิทธิประโยชน์กับผู้ลงทุน คือ การถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์เป็นเวลา 50 ปี และต่ออายุได้อีก 49 ปี สามารถนำผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ หรือช่างฝีมือ ที่เป็นต่างด้าวเข้ามาทำงานได้ตามระยะเวลาที่กำหนดสิทธิ รวมถึงนำครอบครัวเข้ามาอยู่อาศัย โดยให้สิทธิใช้เงินตราต่างประเทศในพื้นที่ลงทุนได้
ถือเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจระยะยาว ในพื้นบริเวณภาคตะวันออก ซึ่งอยู่ใกล้ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง และสนามบินสุวรรณภูมิ โดยคาดว่าน่าจะเกิดการลงทุนสร้างระบบคมนาคมครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเพิ่มเติมเพื่อเตรียมความพร้อม ถือเป็นประเด็นบวกโดยตรงต่อกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนานิคมฯ ไม่ว่าจะเป็น WHA, AMATA และ ROJNA รวมถึงผู้พัฒนาโรงงาน/คลังสินค้าให้เช่าอย่าง TICON ที่มีพื้นที่อยู่ในบริเวณภาคตะวันออก โดยเฉพาะ WHA จะได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจาก
1. WHA มีพื้นที่ในนิคมฯ ภาคตะวันออกหลายแห่งและมากที่สุด (กว่า 4 หมื่นไร่) อีกทั้งธุรกิจยังมีลักษณะ Diversifiy ไปยังธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของธุรกิจการพัฒนาคลังสินค้าให้เช่า ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจไฟฟ้า เป็นต้น
2. ในแง่ของผลประกอบการนั้น คาดกำไรจะทำ New High ในงวด 4Q59 ตามแผนการขายสินทรัพย์เข้า REIT มูลค่ารวม 1.3 หมื่นล้านบาท โดยจะนำไปลดหนี้เงินกู้ลง ทำให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง หนุนผลประกอบการโดยรวมปี 2559 เติบโตเด่นกว่า 1.6 เท่าตัว YoY เป็น 5.1 พันล้านบาท
3. ปัจจัยเร่งเชิงบวกจากการเตรียม Spinoff บริษัทย่อย WHAUP ซึ่งประกอบธุรกิจสาธารณูปโภค และพลังงานเข้าตลาดฯในช่วงต้นปี 2560 เมื่อรวมกับเงินที่จะได้จากการขายสินทรัพย์เข้า REIT จะทำให้ WHA สามารถชำระคืนหนี้ Acquistion Loan ที่เกิดจากการซื้อ HEMRAJ ได้เกือบทั้งหมดในช่วงต้นปี 2560
ฝ่ายวิจัยจึงเลือก WHA ([email protected]) เป็น Top Pick มี upside สูงถึง 36% โดยคาดว่า P/E ปี 2559 จะลดลงอย่างมีนัยฯ เหลือเพียง 8.6 เท่า จากปัจจุบันกว่า 20 เท่า และ Gearing Ratio ลดลงจาก 2.2 เท่า เหลือเพียง 1.4 เท่า
(-) ต่างชาติยังคงซื้อหุ้นในภูมิภาค แต่สลับมาขายไทย และอินโดนีเซีย
วานนี้ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาค ด้วยมูลค่า 362 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) โดยเป็นการซื้อสุทธิอยู่ 3 ประเทศ คือ เกาหลีใต้ซื้อสุทธิ 234 ล้านเหรียญ ตามมาด้วยไต้หวัน 152 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2), ฟิลิปปินส์ 4 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) ส่วนที่เหลืออีก 2 ประเทศต่างชาติสลับมาขายสุทธิ คือ อินโดนีเซียถูกขายสุทธิ 14 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 3 วัน) และไทยที่ต่างชาติสลับมาขายสุทธิราว 14 ล้านเหรียญ หรือ 488 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯและพอร์ตโบรกเกอร์ที่ซื้อสุทธิสูงถึง 3.0 พันล้านบาท และ 1.8 พันล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งแรงซื้อดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยทะยานขึ้นไปกว่า 18.84 จุด หรือ 1.26%
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 2.3 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 1.7 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
(+) ดัชนีเหนือ1,500 จุด ควรปรับพอร์ตถือเงินสด 70% หุ้นเด่น : WHA, HANA, MCS
วานนี้ดัชนีขึ้นยืนเหนือ 1,500 จุดเกินความคาดหมาย โดยเป็นการหนุนของกลุ่ม ธ.พ. ซึ่งน่าจะเป็นการลงทุนระยะสั้นตามความคาดหวังผลประกอบการในงวด 3Q59 แต่คาดว่าเป็นเหตุการณ์ระยะสั้น เท่านั้น ส่วนวันนี้คาดว่าหุ้นพลังงานน่าจะสามารถขยับขึ้นมาประคองตลาดให้อยู่ในแดนบวกได้ จากทิศทางราคาน้ำมันดิบโลกที่กำลังแตะ 50 เหรียญฯต่อบาร์เรล (ราคาน้ำมันดิบตลาดล่วงหน้า ที่ดูไบวานนี้ปิด 48.57 เหรียญฯต่อบาร์เรล vs WTI 49.2 เหรียญฯต่อบาร์เรล) ซึ่งแม้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจากต้นปีจะอยู่ที่ 39.4 เหรียญฯต่อบาร์เรล ยังต่ำกว่าสมมติฐานของ ASPS ที่ 45 เหรียญฯต่อบาร์เรล (ช่วงที่เหลือต้องยืนเหนือ 50 เหรียญฯต่อบาร์เรล) แต่ในปี 2560 สมมติฐานที่กำหนดไว้ 50 เหรียญฯ มีความเป็นไปได้สูง ทำให้นักวิเคราะห์ ASPS ยังคงประมาณการหุ้นพลังงานเช่นเดิม
และหากเปรียบเทียบราคาน้ำมันเฉลี่ยใน 3Q59 ที่ 43.30 เหรียญฯต่อบาร์เรล จะเห็นว่าใกล้เคียงกับ 2Q59 ที่ 43.47 เหรียญฯต่อบาร์เรล จึงคาดว่าผลประกอบการกลุ่มพลังงาน จะไม่มี Stock Loss แต่กำไรปกติของกลุ่มฯ อาจจะชะลอตัวลงตามความต้องการใช้ที่ชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก แต่แนวโน้มงวด 4Q59 น่าจะกระเตื้องขึ้น หากราคาน้ำมันดิบแตะระดับ 50 เหรียญฯ เนื่องจากความกังวลต่อ สถานการณ์ oversupply ที่ลดลง และน่าจะเข้าสู่ภาวะสมดุลได้ใน 2H60 ซึ่งน่าจะหนุนหุ้นน้ำมันทั้ง PTT, PTTEP, รวมถึง BANPU
อย่างไรก็ตาม ดัชนีที่ฟื้นตัวยังเป็นโอกาสให้ลดพอร์ต โดยยังให้ถือเงินสด 70% และลงหุ้น 30% โดยให้เน้นหุ้นที่มีกำไรโดดเด่นในงวด 2H59 แต่ราคาหุ้นยังมี upside คือ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ERW, CENTEL, AOT โรงพยาบาล BCH, BH หรือหุ้นที่มีกำไรเด่นงวด 3Q59 หรือมีเงินปันผลสูง บวก ราคาหุ้นยัง Laggard ได้แก่ ASK, HANA, MCS รวมถึงหุ้นที่ประเด็นบวกในช่วงสั้น ๆ ได้ WHA ดังกล่าวข้างต้น TPIPL ที่เริ่มรับรู้กำไรจะธุรกิจโรงไฟฟ้าชัดเจนชึ้น และกำลังจะนำบริษัทย่อยที่ทำธุรกิจโรงไฟฟ้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เร็ว ๆ นี้ เป็นต้น
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์