WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

'ซื้อใหม่ตามด้วยค่าบวก/ถือหุ้นมั่นคง ปันผลสูง'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
      ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้พลิกกลับเป็นบวก โดยปิดที่ 1491.43 (+11.85 จุด) นำโดยกลุ่มพลังงานที่ได้อานิสงค์จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบหลังการประชุมกลุ่มโอเปก & รัสเซียอย่างไม่เป็นทางการได้ข้อสรุปเรื่องการปรับลดปริมาณการผลิตกลุ่มโอเปกลงสู่ 32.5 – 33.0 จากปัจจุบันที่ 33.24 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งจะนำไปเข้าที่ประชุมทางการอีกครั้งในวันที่ 30 พ.ย.ที่กรุงเวียนนาออสเตรีย และการซื้อเก็งกำไรผลประกอบการ 3Q59 (ซึ่งกลุ่มพลังงานจะมีกำไรเพิ่มก้าวกระโดดมากจากฐานที่ต่ำผิดปกติใน 3Q58)พอร์ตบล.และสถาบันในประเทศนำซื้อสุทธิ ส่วนต่างชาติและรายย่อยขายสุทธิกลุ่มละประมาณ 1.3 พันล้านบาท

     สำหรับวันนี้ซึ่งเป็นวันซื้อขายสุดท้ายของไตรมาส 3/59 โดยรวมแล้วตลาดไม่ได้มีปัจจัยใหม่ที่มีนัยสำคัญเข้ามา แต่มีสิ่งที่ต้องระวังคือแรงขายทำกำไร/ปรับพอร์ตในระยะต่อไป เพราะมีความเสี่ยง/ไม่แน่นอนทั้งเรื่องของภาวะเศรษฐกิจไทย & โลกที่ฟื้นตัวช้า, เฟดกำลังจะปรับขึ้นดอกเบี้ย (ซึ่งคาดว่าจะเป็นการประชุมเดือนธ.ค.59), ปัญหาสถาบันการเงินขนาดใหญ่ (ดอยซ์ แบงก์, เวลส์ ฟาโก้, ธนาคารจีนที่มี NPL สูงฯลฯ) รวมทั้งความไม่แน่นอนในประเทศ แม้ว่าสภาพคล่องการเงินและดอกเบี้ยต่ำทั่วโลก & การเก็งกำไรผลประกอบการ 3Q59 จะยังเป็นอานิสงค์ทางบวกต่อตลาดหุ้นก็ตาม ดังนั้นในการลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวังสูงต่อไป และเรายังเน้นการซื้อเพื่อเล่นรอบไปก่อน ส่วนการซื้อเพื่อลงทุนแนะนำให้ทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีจังหวะราคาอ่อนตัว (แรง) หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น DIF

     การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญาณระยะสั้นพลิกเป็นบวกเล็กๆ แต่ยังควรระวังการแกว่งตัว การปรับขึ้นต่อมีแนวต้าน 1500, 1510 จุด ค่าลบดูไม่ค่อยดี SET มีโอกาสลงไปที่แนวเด้ง 1470-1465 จุด พอร์ตที่มีเงินสดเหลืออยู่น้อยควรลดพอร์ตตาม
     ส่วนผลการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่ คือ ORI, TICON, BCPG, BEAUTY ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ AAV, JASIF,TISCO, TU, CPN, BA, CPNRF, SPRC, PTL หุ้นที่หลุด List –ไม่มี- ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและควรหาจังหวะ Take Profit คือ BTSGIF

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]

Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- สหรัฐ : ตัวเลขภาคที่อยู่อาศัยอ่อนลงในเดือนส.ค.59สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย(pending home sales) ลดลง 2.4% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 108.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.

+ สหรัฐ : จีดีพีประจำ 2Q59 ปรับขึ้น 1.4% ดีกว่าประมาณการเบื้องต้นกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 2 ขยายตัว 1.4% โดยสูงกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ระดับ 1.1% และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.3%

      • ประธานเฟดฟิลาเดลเฟีย & แอตแลนตาหนุนเฟดขึ้นดอกเบี้ยเดือนธ.ค.ปีนี้นายแพทริค ฮาร์เกอร์ ประธานเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย และนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลตตา ต่างก็ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.59

      - ปัญหาดอยซ์แบงก์และเวลส์ ฟาร์โกกดดันตลาดดอยซ์แบงก์ถูกเรียกร้องให้จ่ายค่าปรับเป็นวงเงินสูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อยุติคดีความที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ด้านธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ก็เผชิญวิกฤตด้านความน่าเชื่อถือ หลังจากพนักงานของธนาคารได้เปิดบัญชีลูกค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นจำนวนกว่า 2 ล้านบัญชีเพื่อจะเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ด้านการเงิน และคณะกรรมาธิการด้านบริการการเงินแห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะทำการสอบสวนรอบใหม่และกดดันให้เวลส์ ฟาร์โก รับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น รวมทั้งมีรายงานว่าหน่วยงานด้านการคลังของรัฐแคลิฟอร์เนียได้ประกาศระงับการลงทุนในหลักทรัพย์และผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆของเวลส์ ฟาร์โก

     - ตลาดหุ้นสหรัฐ : ร่วงแรงก่อนวันสุดท้ายของไตรมาส 3/59นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของธนาคารดอยซ์ แบงก์ และข่าวอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในธนาคารเวลส์ฟาร์โก จึงขายหุ้นกลุ่มธนาคาร นอกจากนี้ยังได้รับแรงกดดันจากการที่เจ้าหน้าที่เฟดระดับสูงบางรายออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ ปิดตลาดดัชนี DJIA ร่วงลง 195.79 จุด หรือ -1.07% ดัชนี NASDAQลดลง 49.40 จุด หรือ -0.93% และดัชนี S&P 500 ลดลง 20.24 จุด หรือ -0.93%

      + ราคาน้ำมันดิบ : ขยับขึ้นต่อสัญญาน้ำมันดิบปรับขึ้นต่อแต่ค่อนข้างจำกัดเพราะตลาดไม่มั่นใจต่อข้อตกลงลดปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปกในการประชุมเมื่อ 26-28 ก.ย.ที่ผ่านมา เพราะที่ผ่านมาสมาชิกโอเปกมักไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้ในการลดการผลิต สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 78 เซนต์ หรือ +1.7% ปิดที่ 47.83 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT เพิ่มขึ้น 55เซนต์ หรือ +1.1% ปิดที่ 49.24 ดอลลาร์/บาร์เรล

      ทางด้านโกลด์แมน แซคส์ประกาศคงตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมันในปี 59 และปี 60 โดยระบุว่าแม้ข้อตกลงของกลุ่มโอเปกจะช่วยหนุนราคาในระยะสั้น แต่ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงแนวโน้มปริมาณน้ำมันในอนาคตมากนัก และยังคงคาดการณ์ราคาน้ำมัน WTI ที่ระดับ 43 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงสิ้นปี 59 และที่ระดับ 53 ดอลลาร์/บาร์เรลในปี 60 หลังปรับลดตัวเลขคาดการณ์ในช่วงสิ้นปีนี้จากระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรลก่อนผลการประชุมนอกรอบโอเปก 26-28 ก.ย.ออกมา

     • ราคาทองคำ : ขยับขึ้นเล็กน้อยสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 2.3 ดอลลาร์ หรือ 0.17% ปิดที่ระดับ1,326.00 ดอลลาร์/ออนซ์ ทั้งนี้เพราะมีความเสี่ยงในภาคการเงินทั้งจากปัญหาของดอยซ์ แบงก์และเวลส์ ฟาโก

ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
      • โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม : มีผู้ยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้า 26 รายกว่า 200 MW มากกว่าปริมาณรับซื้อ 4 เท่านายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ระบุว่าการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าจากโครงการการรับซื้อไฟฟ้าพิเศษจากขยะอุตสาหกรรมในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับการประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนปี 2558-2562 ที่เปิดรับช่วงวันที่ 22-28 กันยายน 2559 มียอดผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการจำนวน 26 ราย คิดเป็นปริมาณกำลังการผลิตติดตั้งกว่า 200 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 50 เมกะวัตต์ถึง 4 เท่า หลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคุณสมบัติและประเมินคำร้องและข้อเสนอขอขายไฟฟ้า และประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกภายในวันที่ 28 ตุลาคม 2559 และลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้ภายในวันที่25 กุมภาพันธ์ 2560 รวมทั้งต้องสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 62ด้านหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น (19 ก.ย.59) ระบุว่ามี 7 หุ้นชิงเค้กโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 50 เมกะวัตต์ จับตา “BWG-AKPGENCO-IEC-WHA-SUPER-PSTC” ส่วนนักวิเคราะห์มองว่าผู้ประกอบการที่มีความพร้อมในแง่ของวัตถุดิบ เพราะทำธุรกิจบริหารจัดการขยะอุตสาหกรรมอยู่แล้ว คือ GENCO & BWG

      • SUTHA (ราคาปิด 6.40 บาท) : ผู้ถือหุ้นใหญ่ขายให้ผู้ประกอบการยุโรป 45% @ 6.50 บาทเมื่อวานนี้ (29 ก.ย.) มีการซื้อขายบิ๊กล็อตหุ้น SUTHA ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าปูนขาวร้อน (Quicklime) รายใหญ่ของไทยจำนวน 3 รายการรวมมูลค่า 135 ล้านหุ้นราคาเฉลี่ยหุ้นละ 6.50 บาท มูลค่าการซื้อขายบิ๊กล็อต 877.50 ล้านบาททั้งนี้แหล่งข่าวในวงการตลาดหุ้น กล่าวว่าเป็นการขายบิ๊กล็อตของกลุ่มครอบครัวมนต์เสรีนุสรณ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของSUTHA ให้กับบริษัทข้ามชาติซึ่งเป็นบริษัททำธุรกิจปูนขาวรายใหญ่ระดับโลกในยุโรป และบริษัทข้ามชาตินี้ต้องการถือหุ้นมากกว่า 51% ดังนั้นจึงมีแผนที่จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) หุ้น SUTHA ต่อไป สำหรับกลุ่มครอบครัวมนต์เสรีนุสรณ์หลังการขายครั้งนี้แล้วจะมีสัดส่วนการถือหุ้นลดลงเหลือประมาณ 20%

      ความเห็นเกี่ยวกับงบการเงินของ SUTHA : ในงวด 1H59 บริษัทมีรายได้ 435 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 45 ล้านบาทอัตรากำไรสุทธิ 10.4% ซึ่งเป็นระดับปกติของบริษัท กระแสเงินสดจากการดำเนินงานงวด 1H59 เท่ากับ 113 ล้านบาท มีสินทรัพย์ 954 ล้านบาท และ BVS 1.93 บาท/หุ้น บริษัทจ่ายปันผลสูง โดยให้ Dividend Yield ประมาณ 6% ต่อปี ณราคาซื้อขายที่ 6.50 บาท ซื้อขายที่ P/E ปี 59 ประมาณ 21-22 เท่า แต่มี P/OCF ต่ำที่ 10-11 เท่า สำหรับราคาหุ้นเคยขึ้นไปสูงสุด 10.10 บาท (1 ต.ค.57) และต่ำสุด 3.94 บาท (วันที่เข้าซื้อขายในตลาด 3 เม.ย.57) และราคาเฉลี่ยย้อยหลัง 12เดือนอยู่ที่ 6.00 บาท

      + DIF (ราคาปิด 14.80 บาท) : ปันผลดีเหมาะในยามตลาดผันผวน (เงินปันผลได้รับการยกเว้นภาษี 10 ปี)DIF ได้ทำสัญญาปล่อยเช่าระยะยาวการใช้โครงข่ายโทรคมนาคมกับ TRUE และบริษัทย่อยของ TRUE ทำให้กระแสเงินสดและกำไรในอนาคตมีความมั่นคง อีกทั้งอัตราการจ่ายปันผล (payout ratio) ก็สูงที่ 90% กองทุนฯมีแนวโน้มจะรับโอนสินทรัพย์เข้ามาเพิ่มได้ จาก 1) TRUE วางแผนที่จะขายเสาเข้ากองทุนฯนี้เพิ่มอีก 2,000 ต้น ซึ่งมีมูลค่า 4.5-5.0 พันล้านบาท, 2) มี Fiber ใหม่จากการที่ TRUE มีแผนที่จะเพิ่ม Fix-broadband เป็น 10 ล้านครัวเรือน (จากปลายปี 57 ที่ 5 ล้านครัวเรือน) และ 3) เสาโทรคมนาคม 7,500 ต้นมูลค่า 17-20 พันล้านบาทที่ยังมีข้อโต้แย้งกับ กสท. (CAT) หาก TRUE ชนะก็มีโอกาสขายสินทรัพย์เข้าไปยังกองทุนฯได้เพิ่ม สำหรับความพร้อมทางการเงินของ DIF ยังมีมาก ปัจจุบันกองทุนฯมีสัดส่วนหนี้สินต่อ EBITDA ที่ 2.1 เท่า และข้อกำหนดใน Debt covenant ให้ขยายไปได้ถึง 4 เท่า นั่นคือจะสามารถกู้ได้เพิ่มอีก 11 พันล้านบาท ฝ่ายวิจัยฯ DBSV แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 16.60 บาท และเราให้เป็น 1 ในหุ้นปันผลสูงที่น่าสนใจลงทุนในยามที่ตลาดผันผวน

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]

 

 

BSP

 

adsoptimal100

paidtoclick copy

 

  

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!