- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 29 September 2016 17:30
- Hits: 1050
บล.เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET น่าจะแกว่งตัวเชิงบวกแต่ยังอยู่ในกรอบ 1,480-1,500 จุด วันนี้ได้ sentiment เชิงบวก หลังผู้นำ OPEC เห็นชอบลดกำลังการผลิต หนุนราคาน้ำมันช่วงสั้น ให้ถือเงินสด 70% และ 30% หุ้นกำไรเด่นวงวด 2H59 หรือปันผลสูง (ASK, MCS. HANA) ยังชอบ KSL(FV@B6) ราคาน้ำตาลยังทำ New High และ HANA(FV@B42) งวด 3Q59 กำไรเติบโตโดดเด่นและเงินปันผลเกินกว่า 7%
Opec พร้อมลดกำลังการผลิตหนุนหุ้นน้ำมันช่วงสั้น : PTT, PTTEP
ผลการประชุมผู้นำ OPEC สร้างความพอใจให้กับตลาด หลังมีความเห็นให้ตัดลดกำลังการผลิตลง 2 -7 แสนบาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันกำลังผลิตอยู่ที่ 33.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ล่าสุด เดือน ส.ค.) เหลือ 32.5-33 ล้านบาร์เรลต่อวัน ถือเป็นลดกำลังผลิตครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2551 แต่อย่างไรก็ตามรายละเอียดที่ชัดเจนนั้นจะต้องรอผลการประชุมกลุ่ม OPEC อย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 30 พ.ย.
การตัดลดกำลังผลิตดังกล่าว น่าจะช่วยให้ปัญหา Oversupply ผ่อนคลายลง เพราะหากลดกำลังผลิตขั้นต่ำ 2 แสนบาร์เรลต่อวันนั้น จะทำให้ Demand และ Supply น้ำมันโลกกลับมาสมดุลได้เร็วกว่าคาด คือปลายปี 2559 จากเดิมที่คาดว่าจะสมดุลได้ใน 2H 2560 (ประเมินโดย IEA) และหากลดได้มากถึง 7 แสนบาร์เรลต่อวัน จะยิ่งทำให้ภาวะสมดุลเกิดเร็วขึ้น
และวานนี้สำนักสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) รายได้สต๊อกน้ำมันสิ้นสุด 23 ก.ย. ลดลงมากกว่าคาด คือ สต็อกน้ำมันดิบลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล (VS คาดลด 0.75 ล้านบาร์เรล API) ลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5 (จากกำลังผลิตในประเทศลดลงต่อเนื่อง คือ ลดลง 15 ล้านบาร์เรลจากสัปดาห์ก่อน หรือ (7% yoy) เช่นเดียวกับน้ำมันสำเร็จรูปดีเซลที่กลับมาลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล ครั้งแรกในรอบ 6 สัปดาห์ สวนทางกับน้ำมันเบนซิน ที่กลับตัวเพิ่มขึ้น 2.03 ล้านบาร์เรล สะท้อนภาคครัวเรือนเริ่มกระเตื้องขึ้น
รวมถึง dollar Index ยังทรงตัว หนุนราคาน้ำมันฟื้นตัวอย่างมาก ปรับตัวขึ้นกว่า 5% ในวันเดียว บวกต่อ PTT(FV@B400) และ PTTEP(FV@B89) และสะท้อนว่าราคาหุ้นได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และ เช่นเดียวกับ หุ้นถ่านหินแม้ราคาถ่านหินจะมีช่วงเวลา Lag time ในการปรับตามราคา แต่ถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วเช่นกัน วันนี้นักวิเคราะห์ ASPS ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น BANPU([email protected]) จากเดิม Swithc เป็นซื้อ เนื่องจากหันไปใช้ Fair Value ปี 2560 ทำให้มี upside 18% และน่าจะได้รับประเด็นหนุนจากที่บริษัท BPP ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP (BANPU จะถือหุ้นลดลงจาก 100% ในปัจจุบัน จะเหลือ 78.7% หลัง IPO) กำลังจะเข้าซื้อขายในตลาดเร็ว ๆ นี้
Fed ยังคงยืนจะขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ แม้ดัชนีชี้นำไม่เอื้อ
หลังจากประธาน Fed นางเจเน็ต เยลเลน ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐวานนี้ ยังคงตอกย้ำถึงโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายังมี 1 ครั้ง โดยให้น้ำหนักต่อยอดการจ้างงานโดยรวมที่ดีต่อเนื่อง ทั้งนี้แม้ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจยังขัดแย้งกัน กล่าวคือ อัตราการว่างงานยังคง อยู่ที่ 4.9% และ เงินเฟ้อล่าสุด กระเตื้องขึ้นมาที่ 1.1% แต่หากพิจารณาดัชนีชี้นำเศรษฐกิจภาคครัวเรือนยังคงอ่อนแอ คือ ยอดค้าปลีก (Retail sales) และดัชนี PMI ภาคบริการ (ISM Non-Manufacturing) ในเดือน ส.ค. ที่พลิกกลับมาติดลบครั้งแรกในรอบ 5 เดือน และระดับต่ำสุดตั้งแต่ ก.พ.2553 ตามลำดับ และ เช่นเดียวกับภาคการผลิตที่ชะลอตัวสะท้อนจาก PMI (ภาคการผลิต มาร์กิต) และผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน ก.ย. ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และกลับมาติดลบครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามปัจจัยภายนอก อาทิ ผลกระทบของ Brexit การค้าโลกที่ชะลอตัว สะท้อนจาก องค์การการค้าโลก(WTO) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของการค้าโลกปี 2559 เหลือ 1.7%(ระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปี) น่าจะมีน้ำหนักต่อต่อการพิจารณาการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ ซึ่งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนื้เชื่อว่าการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย ควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีความจำเป็น โดยเฉพาะประเทศในอาเซียน ซึ่งประสบปัญหาการส่งออก และราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ
ล่าสุด รัฐบาลไทยยังเดินหน้ากระตุ้นการบริโภคระดับรากหญ้า ดังที่กล่าวไปวานนี้ ควบคู่กับการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ น่าจะหนุนต่อ GDP Growth ปี 2559 ที่ASPS ประเมินไว้ที่ 3.5% มีความเป็นไปได้ สะท้อนจากสำนักเศรษฐกิจหลายสำนักได้ทยอยปรับคาดการณ์ ดังตาราง แต่ยังเป็นอัตราที่การเติบโตที่ต่ำกว่าประเทศในภูมิภาค อาทิ (ฟิลิปปินส์คาดที่ 6-7% อินโดนีเซียคาดที่ 4.9 -5.3%และมาเลเซีย 4-4.5%)
คาดการณ์ GDP Growth ปี 2559
ที่มา : ฝ่ายวิจัย ASPS สิ้นสุด 27 ก.ย.59
ต่างชาติขายหุ้นเกือบทุกตลาดในภูมิภาค ยกเว้นตลาดหุ้นไทย
วานนี้ตลาดหุ้นไต้หวันยังคงหยุดทำการอีก 1 วัน เนื่องจากเผชิญกับพายุไต้ฝุ่น Megi ส่วนตลาดหุ้นประเทศอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่า ต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 138 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) และเป็นการขายสุทธิอยู่ 3 ประเทศ คือ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ถูกขายสุทธิราว 103 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 52 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) และฟิลิปปินส์ 6 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิติดต่อกันนานถึง 25 วันทำการ โดยมียอดขายรวมอยู่ที่ 538 ล้านเหรียญ) ยกเว้นไทยที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิราว 22 ล้านเหรียญ หรือ 767 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 3 วัน) ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิราว 1.4 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2)
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 8.9 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงซื้อสุทธิราว 6.6 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิติดต่อกันมาเป็นวันที่ 8 โดยมียอดรวมสูงถึง 5.7 หมื่นล้านบาท) ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ 34.58 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
กลยุทธ์เน้นหุ้นเกำไรเด่น 2Hยะ59/ปันผลสูง: HANA, ASK, KCAR, BCH
วันนี้แม้จะได้รับ sentiment เชิงบวกจากราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวดังกล่าวข้างต้น แต่เชื่อว่า SET ยังผันผวนในกรอบ 1,480-1,500 จุด โดยยังถูกกดดันจากแรงขายของต่างชาติ ซึ่งได้ทยอยขายหนักใน ประเทศเพื่อนบ้านบางแห่ง เช่น ฟิลิปปินส์ขายหนักสุด ตามมาด้วย อินโดนีเซีย แม้ในประเทศจะมีปัจจัยหนุนอยู่บ้างเช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐล่าสุดที่ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ควบคู่ไปกับการเร่งใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ ดังที่ได้กล่าวไว้ใน Market Talk วานนี้ และการทำ Earnings Preview ผลประกอบการงวด 3Q59 แต่คาดว่าไม่มีน้ำหนักหนุนดัชนีนัก เพราะหุ้นใหญ่ทั้ง ธ.พ. สื่อสาร และ พลังงานอยู่ในภาวะชะลอตัวเมื่อเทียบกับผลกำไรงวด 1H59 จึงเหลือเฉพาะหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ยังแสดงกำไรโดดเด่นตามผลของฤดูกาลในงวด 3Q59 ได้แก่
กลุ่ม ร.พ. แต่หุ้นหลายแห่งราคาปรับขึ้นมาแล้วเช่น BJH, LPH, ยกเว้น BCH และ BDMS อย่างไรก็ตามสำหรับ BDMS ได้ผ่านการเติบโตแรงๆ ไปแล้ว จากนี้ไปคงเติบโตในอัตราชะลอตัว ประกอบกับวานนี้ BDMS ได้แจ้งต่อตลาด ถึงการซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบริเวณโครงการ ปาร์คนายเลิศ เพื่อพัฒนาโครงการศูนย์สุขภาพแบบครบวงจร BDMS Wellness Clinic โดยที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีมูลค่า 1.08 หมื่นล้านบาท และเงินลงทุนก่อสร้างอีกราว 2 พันล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 1.28 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่า BDMS จำเป็นที่จะต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท (ทำให้ Gearing Ratio เพิ่มขึ้นจาก 0.55 เท่า ขึ้นไปเป็นกว่า 0.8 เท่า vs CFO ราว 5.1 พันล้านบาท) ซึ่งน่าจะมีผลต่อการปรับลดประมาณการและ Fair Value (เบื้องต้นคาดว่าจะทำให้ EPS Growth ปี 2560 ลดลงจาก 14.11% เหลือ 8.38% และกระทบต่อ Fair Value ปี 2560 ลดลงจาก 27 บาท มาอยู่ที่ 25.5 บาท) ระยะสั้นจึงแนะนำ swich ไปก่อน โดยให้ลงทุนใน BH(FV@B213) และ BCH (FV@B14)
ตามมาด้วย ท่องเที่ยว-โรงแรม ที่คาดว่ายังมีผลดำเนินงานที่ดี โดยเฉพาะสายการบินที่เน้นปลายทางที่เกาะสมุย อย่าง BA แต่ราคาหุ้นก็ขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว จึงแนะนำให้ซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวเท่านั้น
กลุ่มส่งออกทั้งเกษตร และ อาหารที่คาดว่าโดดเด่นในงวด 3Q59 แต่พบว่าราคาหุ้นขยับขึ้นไปเยอะแล้ว ทั้ง CPF, TFG, GFPT จึงแนะนำซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลง เช่นเดียวกับ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และโรงงาน) มักจะมีคำสั่งซื้อเพื่อรองรับการผลิตสินค้า เพื่อายในช่วงเทศกาลปลายปี แต่พบว่าราคาหุ้นบางแห่งปรับขึ้นมาแล้ว เช่น DELTA(FV@B80) ผลิตสินค้าพวก Data center และ Power supply, KEC([email protected]) ผลิตแผงวงจรไฟฟ้า PCB ในรถยนต์,SVI(FV@B6) ผลิตกล้องวิดีโอ ยกเว้นเพียง HANA(FV@B42) ที่ผลิตสินค้าในอุตาหกรรมรถยนต์ อย่าง จอ LED ในรถยนต์ และ เซ็นเซอร์ สำหรับติดรถยนต์ แต่จะพบว่ามีเพียง SVI และ HANA ราคาที่หุ้นยัง Laggard จึงแนะนำสะสมทั้ง HANA และ SVI แต่อย่างไรก็ตามยังชอบ HANA มากกว่า เพราะ นอกจาก คาดกำไรจากการดำเนินงานงวด 3Q59 เติบโตถึง 44.5% qoq แล้ว ยังเป็นหุ้นที่มี PER เพียง 9.4 เท่า และ ยังมีเงินปันสูงมากแห่งหนึ่ง
และสุดท้ายกลุ่มลิสซิ่ง เป็นอีกกลุ่มที่คาดผลกำไรงวด 3Q59 ดีกว่างวด 2Q59 ซึ่งเป็นช่วง low season แม้บางธุรกิจจะได้รับผลกระทบในช่วงฤดูฝน อาทิ ผู้ประกอบการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ (TK, S11, GL) แต่ คาดส่วนใหญ่ยังแสดงการเติบโตของกำไรสุทธิที่ดีในงวด 3Q59 คือ ASK (ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายลดลงอย่างมีนัยฯ ตั้งแต่ 3Q59), JMT (การตั้งสำรองหนี้ฯ ของสินเชื่อบุคคลลดลงอย่างมีนัยฯ), AUCT (จำนวนรถยนต์เข้าประมูลฟื้นตัวอย่างมีนัยฯ), LIT (ยอดเปิดวงเงินสินเชื่อแฟคตอริ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ เพื่อรองรับงานประมูลของภาครัฐที่เกิดขึ้น) ประกอบกับล่าสุดรัฐมี มาตรการ ช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้ น่าจะหนุนกำลังซื้อ และ ผ่อนคลาย การตั้งสำรองฯ ของ กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ-ลิสซิ่ง ได้แก่ เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ (TK, GL, S11) และ สินเชื่อจักรกลการเกษตร (GCAP) ASPS ยังชอบ TK (FV’[email protected]) และ S11 (FV’[email protected]) มากที่สุด
และเช่นเดียงกับ ASK (FV’[email protected]) คาดยังเติบโตตาม โดรงการก่อสร้างภาครัฐ หนุนความต้องการสินเชื่อรถบรรทุก อีกทั้งยังคาดหวัง Dividend Yield ได้สูงกว่า 7% แต่มี P/E ต่ำเพียง 9.6 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside สูงถึง 32% นอกจากนี้ ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังในไตรมาส 4 ของ ASK ยังสูงถึง 6% ด้วยความน่าจะเป็นที่ผลตอบแทนเป็นบวกกว่า 60% รวมทั้ง KCAR (FV’[email protected]) Dividend Yield ได้สูงถึง 6% แต่มี P/E ต่ำเพียง 9.7 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside สูงถึง 53% ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท (ล้านบาท)
นักลงทุนต่างชาติ -1,035.04
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 2,019.60
นักลงทุนสถาบันในประเทศ -287.98
นักลงทุนรายย่อย -696.58
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET น่าจะแกว่งตัวเชิงบวกแต่ยังอยู่ในกรอบ 1,480-1,500 จุด วันนี้ได้ sentiment เชิงบวก หลังผู้นำ OPEC เห็นชอบลดกำลังการผลิต หนุนราคาน้ำมันช่วงสั้น ให้ถือเงินสด 70% และ 30% หุ้นกำไรเด่นวงวด 2H59 หรือปันผลสูง (ASK, MCS. HANA) ยังชอบ KSL(FV@B6) ราคาน้ำตาลยังทำ New High และ HANA(FV@B42) งวด 3Q59 กำไรเติบโตโดดเด่นและเงินปันผลเกินกว่า 7%
Opec พร้อมลดกำลังการผลิตหนุนหุ้นน้ำมันช่วงสั้น : PTT, PTTEP
ผลการประชุมผู้นำ OPEC สร้างความพอใจให้กับตลาด หลังมีความเห็นให้ตัดลดกำลังการผลิตลง 2 -7 แสนบาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันกำลังผลิตอยู่ที่ 33.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ล่าสุด เดือน ส.ค.) เหลือ 32.5-33 ล้านบาร์เรลต่อวัน ถือเป็นลดกำลังผลิตครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2551 แต่อย่างไรก็ตามรายละเอียดที่ชัดเจนนั้นจะต้องรอผลการประชุมกลุ่ม OPEC อย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 30 พ.ย.
การตัดลดกำลังผลิตดังกล่าว น่าจะช่วยให้ปัญหา Oversupply ผ่อนคลายลง เพราะหากลดกำลังผลิตขั้นต่ำ 2 แสนบาร์เรลต่อวันนั้น จะทำให้ Demand และ Supply น้ำมันโลกกลับมาสมดุลได้เร็วกว่าคาด คือปลายปี 2559 จากเดิมที่คาดว่าจะสมดุลได้ใน 2H 2560 (ประเมินโดย IEA) และหากลดได้มากถึง 7 แสนบาร์เรลต่อวัน จะยิ่งทำให้ภาวะสมดุลเกิดเร็วขึ้น
และวานนี้สำนักสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) รายได้สต๊อกน้ำมันสิ้นสุด 23 ก.ย. ลดลงมากกว่าคาด คือ สต็อกน้ำมันดิบลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล (VS คาดลด 0.75 ล้านบาร์เรล API) ลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5 (จากกำลังผลิตในประเทศลดลงต่อเนื่อง คือ ลดลง 15 ล้านบาร์เรลจากสัปดาห์ก่อน หรือ (7% yoy) เช่นเดียวกับน้ำมันสำเร็จรูปดีเซลที่กลับมาลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล ครั้งแรกในรอบ 6 สัปดาห์ สวนทางกับน้ำมันเบนซิน ที่กลับตัวเพิ่มขึ้น 2.03 ล้านบาร์เรล สะท้อนภาคครัวเรือนเริ่มกระเตื้องขึ้น
รวมถึง dollar Index ยังทรงตัว หนุนราคาน้ำมันฟื้นตัวอย่างมาก ปรับตัวขึ้นกว่า 5% ในวันเดียว บวกต่อ PTT(FV@B400) และ PTTEP(FV@B89) และสะท้อนว่าราคาหุ้นได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และ เช่นเดียวกับ หุ้นถ่านหินแม้ราคาถ่านหินจะมีช่วงเวลา Lag time ในการปรับตามราคา แต่ถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วเช่นกัน วันนี้นักวิเคราะห์ ASPS ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น BANPU([email protected]) จากเดิม Swithc เป็นซื้อ เนื่องจากหันไปใช้ Fair Value ปี 2560 ทำให้มี upside 18% และน่าจะได้รับประเด็นหนุนจากที่บริษัท BPP ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP (BANPU จะถือหุ้นลดลงจาก 100% ในปัจจุบัน จะเหลือ 78.7% หลัง IPO) กำลังจะเข้าซื้อขายในตลาดเร็ว ๆ นี้
Fed ยังคงยืนจะขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ แม้ดัชนีชี้นำไม่เอื้อ
หลังจากประธาน Fed นางเจเน็ต เยลเลน ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐวานนี้ ยังคงตอกย้ำถึงโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายังมี 1 ครั้ง โดยให้น้ำหนักต่อยอดการจ้างงานโดยรวมที่ดีต่อเนื่อง ทั้งนี้แม้ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจยังขัดแย้งกัน กล่าวคือ อัตราการว่างงานยังคง อยู่ที่ 4.9% และ เงินเฟ้อล่าสุด กระเตื้องขึ้นมาที่ 1.1% แต่หากพิจารณาดัชนีชี้นำเศรษฐกิจภาคครัวเรือนยังคงอ่อนแอ คือ ยอดค้าปลีก (Retail sales) และดัชนี PMI ภาคบริการ (ISM Non-Manufacturing) ในเดือน ส.ค. ที่พลิกกลับมาติดลบครั้งแรกในรอบ 5 เดือน และระดับต่ำสุดตั้งแต่ ก.พ.2553 ตามลำดับ และ เช่นเดียวกับภาคการผลิตที่ชะลอตัวสะท้อนจาก PMI (ภาคการผลิต มาร์กิต) และผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน ก.ย. ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และกลับมาติดลบครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอก อาทิ ผลกระทบของ Brexit การค้าโลกที่ชะลอตัว สะท้อนจาก องค์การการค้าโลก(WTO) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของการค้าโลกปี 2559 เหลือ 1.7%(ระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปี) น่าจะมีน้ำหนักต่อต่อการพิจารณาการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ ซึ่งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนื้เชื่อว่าการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย ควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีความจำเป็น โดยเฉพาะประเทศในอาเซียน ซึ่งประสบปัญหาการส่งออก และราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ
ล่าสุด รัฐบาลไทยยังเดินหน้ากระตุ้นการบริโภคระดับรากหญ้า ดังที่กล่าวไปวานนี้ ควบคู่กับการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ น่าจะหนุนต่อ GDP Growth ปี 2559 ที่ASPS ประเมินไว้ที่ 3.5% มีความเป็นไปได้ สะท้อนจากสำนักเศรษฐกิจหลายสำนักได้ทยอยปรับคาดการณ์ ดังตาราง แต่ยังเป็นอัตราที่การเติบโตที่ต่ำกว่าประเทศในภูมิภาค อาทิ (ฟิลิปปินส์คาดที่ 6-7% อินโดนีเซียคาดที่ 4.9 -5.3%และมาเลเซีย 4-4.5%)
ต่างชาติขายหุ้นเกือบทุกตลาดในภูมิภาค ยกเว้นตลาดหุ้นไทย
วานนี้ตลาดหุ้นไต้หวันยังคงหยุดทำการอีก 1 วัน เนื่องจากเผชิญกับพายุไต้ฝุ่น Megi ส่วนตลาดหุ้นประเทศอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่า ต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 138 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) และเป็นการขายสุทธิอยู่ 3 ประเทศ คือ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ถูกขายสุทธิราว 103 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 52 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) และฟิลิปปินส์ 6 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิติดต่อกันนานถึง 25 วันทำการ โดยมียอดขายรวมอยู่ที่ 538 ล้านเหรียญ) ยกเว้นไทยที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิราว 22 ล้านเหรียญ หรือ 767 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 3 วัน) ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิราว 1.4 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2)
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 8.9 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงซื้อสุทธิราว 6.6 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิติดต่อกันมาเป็นวันที่ 8 โดยมียอดรวมสูงถึง 5.7 หมื่นล้านบาท) ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ 34.58 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ
กลยุทธ์เน้นหุ้นเกำไรเด่น 2Hยะ59/ปันผลสูง: HANA, ASK, KCAR, BCH
วันนี้แม้จะได้รับ sentiment เชิงบวกจากราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวดังกล่าวข้างต้น แต่เชื่อว่า SET ยังผันผวนในกรอบ 1,480-1,500 จุด โดยยังถูกกดดันจากแรงขายของต่างชาติ ซึ่งได้ทยอยขายหนักใน ประเทศเพื่อนบ้านบางแห่ง เช่น ฟิลิปปินส์ขายหนักสุด ตามมาด้วย อินโดนีเซีย แม้ในประเทศจะมีปัจจัยหนุนอยู่บ้างเช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐล่าสุดที่ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ควบคู่ไปกับการเร่งใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ ดังที่ได้กล่าวไว้ใน Market Talk วานนี้ และการทำ Earnings Preview ผลประกอบการงวด 3Q59 แต่คาดว่าไม่มีน้ำหนักหนุนดัชนีนัก เพราะหุ้นใหญ่ทั้ง ธ.พ. สื่อสาร และ พลังงานอยู่ในภาวะชะลอตัวเมื่อเทียบกับผลกำไรงวด 1H59 จึงเหลือเฉพาะหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ยังแสดงกำไรโดดเด่นตามผลของฤดูกาลในงวด 3Q59 ได้แก่
กลุ่ม ร.พ. แต่หุ้นหลายแห่งราคาปรับขึ้นมาแล้วเช่น BJH, LPH, ยกเว้น BCH และ BDMS อย่างไรก็ตามสำหรับ BDMS ได้ผ่านการเติบโตแรงๆ ไปแล้ว จากนี้ไปคงเติบโตในอัตราชะลอตัว ประกอบกับวานนี้ BDMS ได้แจ้งต่อตลาด ถึงการซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบริเวณโครงการ ปาร์คนายเลิศ เพื่อพัฒนาโครงการศูนย์สุขภาพแบบครบวงจร BDMS Wellness Clinic โดยที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีมูลค่า 1.08 หมื่นล้านบาท และเงินลงทุนก่อสร้างอีกราว 2 พันล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 1.28 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่า BDMS จำเป็นที่จะต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท (ทำให้ Gearing Ratio เพิ่มขึ้นจาก 0.55 เท่า ขึ้นไปเป็นกว่า 0.8 เท่า vs CFO ราว 5.1 พันล้านบาท) ซึ่งน่าจะมีผลต่อการปรับลดประมาณการและ Fair Value (เบื้องต้นคาดว่าจะทำให้ EPS Growth ปี 2560 ลดลงจาก 14.11% เหลือ 8.38% และกระทบต่อ Fair Value ปี 2560 ลดลงจาก 27 บาท มาอยู่ที่ 25.5 บาท) ระยะสั้นจึงแนะนำ swich ไปก่อน โดยให้ลงทุนใน BH(FV@B213) และ BCH (FV@B14)
ตามมาด้วย ท่องเที่ยว-โรงแรม ที่คาดว่ายังมีผลดำเนินงานที่ดี โดยเฉพาะสายการบินที่เน้นปลายทางที่เกาะสมุย อย่าง BA แต่ราคาหุ้นก็ขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว จึงแนะนำให้ซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวเท่านั้น
กลุ่มส่งออกทั้งเกษตร และ อาหารที่คาดว่าโดดเด่นในงวด 3Q59 แต่พบว่าราคาหุ้นขยับขึ้นไปเยอะแล้ว ทั้ง CPF, TFG, GFPT จึงแนะนำซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลง เช่นเดียวกับ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และโรงงาน) มักจะมีคำสั่งซื้อเพื่อรองรับการผลิตสินค้า เพื่อายในช่วงเทศกาลปลายปี แต่พบว่าราคาหุ้นบางแห่งปรับขึ้นมาแล้ว เช่น DELTA(FV@B80) ผลิตสินค้าพวก Data center และ Power supply, KEC([email protected])ผลิตแผงวงจรไฟฟ้า PCB ในรถยนต์,SVI(FV@B6) ผลิตกล้องวิดีโอ ยกเว้นเพียง HANA(FV@B42) ที่ผลิตสินค้าในอุตาหกรรมรถยนต์ อย่าง จอ LED ในรถยนต์ และ เซ็นเซอร์ สำหรับติดรถยนต์ แต่จะพบว่ามีเพียง SVI และ HANA ราคาที่หุ้นยัง Laggard จึงแนะนำสะสมทั้ง HANA และ SVI แต่อย่างไรก็ตามยังชอบ HANA มากกว่า เพราะ นอกจาก คาดกำไรจากการดำเนินงานงวด 3Q59 เติบโตถึง 44.5% qoq แล้ว ยังเป็นหุ้นที่มี PER เพียง 9.4 เท่า และ ยังมีเงินปันสูงมากแห่งหนึ่ง
และสุดท้ายกลุ่มลิสซิ่ง เป็นอีกกลุ่มที่คาดผลกำไรงวด 3Q59 ดีกว่างวด 2Q59 ซึ่งเป็นช่วง low season แม้บางธุรกิจจะได้รับผลกระทบในช่วงฤดูฝน อาทิ ผู้ประกอบการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ (TK, S11, GL) แต่ คาดส่วนใหญ่ยังแสดงการเติบโตของกำไรสุทธิที่ดีในงวด 3Q59 คือ ASK (ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายลดลงอย่างมีนัยฯ ตั้งแต่ 3Q59), JMT (การตั้งสำรองหนี้ฯ ของสินเชื่อบุคคลลดลงอย่างมีนัยฯ), AUCT (จำนวนรถยนต์เข้าประมูลฟื้นตัวอย่างมีนัยฯ), LIT (ยอดเปิดวงเงินสินเชื่อแฟคตอริ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ เพื่อรองรับงานประมูลของภาครัฐที่เกิดขึ้น) ประกอบกับล่าสุดรัฐมี มาตรการ ช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้ น่าจะหนุนกำลังซื้อ และ ผ่อนคลาย การตั้งสำรองฯ ของ กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ-ลิสซิ่ง ได้แก่ เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ (TK, GL, S11) และ สินเชื่อจักรกลการเกษตร (GCAP) ASPS ยังชอบ TK (FV’[email protected]) และ S11 (FV’[email protected]) มากที่สุด
และเช่นเดียงกับ ASK (FV’[email protected]) คาดยังเติบโตตาม โดรงการก่อสร้างภาครัฐ หนุนความต้องการสินเชื่อรถบรรทุก อีกทั้งยังคาดหวัง Dividend Yield ได้สูงกว่า 7% แต่มี P/E ต่ำเพียง 9.6 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside สูงถึง 32% นอกจากนี้ ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังในไตรมาส 4 ของ ASK ยังสูงถึง 6% ด้วยความน่าจะเป็นที่ผลตอบแทนเป็นบวกกว่า 60% รวมทั้ง KCAR (FV’[email protected]) Dividend Yield ได้สูงถึง 6% แต่มี P/E ต่ำเพียง 9.7 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside สูงถึง 53%
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ
fผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์