- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 28 September 2016 16:37
- Hits: 1167
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ต่างชาติทยอยขายหุ้นไทย แต่เงินบาทแข็งค่ายังส่งผลให้ SET แกว่งตัวในกรอบ 1,480-1,500 จุด ยังแนะนำให้ปรับพอร์ต และเลือกหุ้นกำไรเด่นในงวด 2H59 หรือเงินปันผลสูง (ASK, MCS) เลือก KSL(FV@B6) ราคาน้ำตาลยังทำ New High และ HANA(FV@B42) งวด 3Q59 กำไรก้าวกระโดด และปันผลเกิน 7%
รัฐอัดฉีดเงินสู่ระดับรากหญ้า กระตุ้น C ในงวด 4Q59
คาดตลาดหุ้นโลกยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว สะท้อนจากองค์การการค้าโลก(WTO) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของการค้าโลกปี 2559 เหลือ 1.7% (ระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปี) จากเดิม 2.8% (ประเมินเมื่อ เม.ย.59) เป็นผลจากเศรษฐกิจสหรัฐและจีนที่การค้าชะลอตัวลง ตอกย้ำความเสี่ยงของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นและน่าจะมีผลต่อการพิจารณาการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้
ขณะที่ไทยวานนี้ ครม.อนุมัติมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ผ่านการเงินให้เปล่าและลดหนี้ ดังนี้
1. เงินช่วยเหลือเกษตรกร (ราว 12.6% จากเกษตรกรทั้งประเทศราว 23 ล้านคน) ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000บาท/ปี ได้รับเงินอุดหนุนรายละ 3,000 พันบาท และรายได้เกิน 30,000-100,000 บาท/ปี ได้รับเงินอุดหนุน 1,500 บาท คิดวงเงินทั้งหมดราว 6,540 ล้านบาท
2. ปรับโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่ปลดหนี้ให้เกษตรกรที่มีเหตุผิดปกติ (ราว 0.6% ของเกษตรกรทั้งหมด) เช่น เสียชีวิต พิการ ทุพพลภาพ เป็นต้น ให้ตัดหนี้สูญ แต่หากมีทายาท ให้พักชำระหนี้เงินต้น 2 ปี และให้ชำระเงินต้นเป็นเวลา 3 ปี (มูลหนี้ที่รัฐบาลช่วยเหลือราว 15,500 ล้านบาท) และปรับโครงสร้างหนี้ ผ่านเกษตรกรลูกค้า ธกส.อายุ 60 ปีขึ้นไป (ราว 2.35%) ให้พักชำระเงินต้น 2 ปี และให้ชำระเงินต้นเป็นเวลา 3 ปี หากทำตามแผนจะลดดอกเบี้ย 50-80% เป็นต้น
รอบนี้รัฐช่วยเกษตรกรรวม 4.4 ล้านคน ซึ่งเท่ากับกระตุ้นการบริโภคระดับรากหญ้า ควบคู่กับการเร่งเบิกจ่าย และลงทุนภาครัฐ ซึ่งจะหนุนต่อ GDP Growth ใน 2H59 ที่ใกล้เคียงกับ 1H59 ที่ 3.5% แต่ให้น้ำหนักประเด็นนี้เป็นบวกเล็กๆ เท่านั้น เพราะเชื่อว่าปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังต้องใช้เวลา
เงินเอเชียกลับมาแข็งค่า ยังหนุนตลาดหุ้นระยะสี้น
วานนี้เงินเอเชีย กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง นำโดยเงินรูเปียะห์ อินโดนีเซีย แข็งค่า 0.6% รองลงมา เงินเปโซ ฟิลิปปินซ์แข็งค่า 0.41% และริงกิต มาเลเซียแข็งค่า 0.2% ยกเว้นเงินบาททรงตัว ทำให้ทุกสกุลยังคงแข็งค่าต่อเนื่องนับจากต้นปี (ytd) คือ เงินรูเปียะห์แข็งค่ามากถึง 7% (ytd) ตามมาด้วยเงินริงกิตแข็งค่า 5.69%ytd และ เงินบาทแข็งค่า 4.62%ytd ยกเว้นเงินเปโซอ่อนค่า 3%ytd
ทั้งนี้เงินเอเชียที่แข็งค่าวานนี้น่าจะเป็นผลจิตวิทยา หลังการโต้วาทีของผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐล่าสุด พบว่านางฮิลลารีฯ ได้รับความนิยมมากกว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ (48%:46%) หนุนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการค้าเอเซียฯ ภายใต้ยุทธศาสตร์ “หุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกหรือ TPP” เพราะนางฮิลลารีฯ ยังต่อแนวคิดนี้ตามนายบารัค โอบามา ขณะที่นายทรัมป์ ไม่สนับสนุนฯ
แต่หากพิจารณาค่าเงินที่แข็งค่านับจาก 14 ก.ย. เป็นรายประเทศคาดว่ามีเหตุผลที่แตกต่างกัน คือ เงินรูเปียะห์ แข็งค่ามากสุด เป็นผลจากที่รัฐยกเลิกภาษีที่จัดเก็บจากดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล (เริ่ม 2560) เงินบาท แข็งค่า ได้แรงหนุนจากยอดส่งออกที่กลับมาบวกครั้งแรกในรอบ 5 เดือน และเกินดุลการค้า 16 เดือน ติดต่อกัน และ เงินริงกิตมาเลเซีย ตลาดเชื่อว่าการประชุม OPEC 28 ก.ย. น่าจะมีส่วนหนุนราคาน้ำมันทรงตัว ซึ่งถือเป็นสินส่งออกหลัก (ราว 30% ของยอดส่งออกรวม) ยกเว้น เงินเปโซ ที่อ่อนค่ามาก เป็นผลจากต่างชาติขายทั้งหุ้น(ติดต่อ 23 วัน) และ ตราสารทุน โดยรวมค่าเงินเอเชียที่แข็งค่าถือเป็นปัจจัยหนุนระยะสั้น
ต่างชาติยังคงขายหุ้นไทย แต่สลับมาซื้อตราสารหนี้มากขึ้น
วานนี้ตลาดหุ้นไต้หวันหยุดทำการ เนื่องจากเผชิญกับพายุไต้ฝุ่น Megi ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่า ต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 61 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) และเป็นการขายสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นเกาหลีใต้ที่ถูกซื้อสุทธิเล็กน้อยเพียง 8 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ส่วนตลาดหุ้นกลุ่ม TIP ต่างชาติยังคงขายสุทธิ คือ อินโดนีเซียขายสุทธิราว 39 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ 4 แสนเหรียญ (ขายสุทธิติดต่อกันนานถึง 24 วันทำการ โดยมียอดขายรวมอยู่ที่ 532 ล้านเหรียญ จนทำให้ยอดซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีเหลือเพียง 674 ล้านเหรียญ) และไทยที่ต่างชาติขายสุทธิราว 30 ล้านเหรียญ หรือ 1.0 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิราว 288 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 1.8 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิสูงถึง 2.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิติดต่อกันมาเป็นวันที่ 7 โดยมียอดรวมสูงถึง 5.1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ Bond Yield 10 ปีของไทย ปรับตัวลดลงมาราว 10 bps. โดยล่าสุดอยู่ที่ 2.148% และยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน
SET ผันผวน เลือกหุ้นเกำไรเด่น 3Q59/ปันผลสูง: HANA, ASK, TK
ระยะสั้นคาด SET ยังผันผวนในกรอบ 1,480-1,500 จุด โดยยังได้รับแรงขายของต่างชาติ ซึ่งเห็นแรงขายในไทยชัดเจนชึ้น ในลักษณะเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ขายหนักสุด ตามมาด้วย อินโดนีเซีย ขณะที่ปัจจัยหนุนระยะสั้นยังให้น้ำหนักไปที่หุ้นที่มีผลประกอบการเด่น จากผลของฤดูกาลในงวด 3Q59 แต่ส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นขนาดกลางและเล็กคือ กลุ่ม ร.พ. แต่หุ้นหลายแห่งราคาปรับขึ้นมาแล้วเช่น BJH, LPH, ยกเว้น BCH และ BDMS ตามมาด้วย ท่องเที่ยว-โรงแรม ที่คาดว่ายังมีผลดำเนินงานที่ดี โดยเฉพาะสายการบินที่เน้นปลายทางที่เกาะสมุย อย่าง BA แต่ราคาหุ้นก็ขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว
ส่วนกลุ่มส่งออกที่คาดว่าโดดเด่นในงวด 3Q59 แต่ราคาหุ้นยังขยับน้อยมากคือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และโรงงาน ซึ่งพบว่ามียอดสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก รองรับการผลิตสินค้า เพื่อายในช่วงเทศกาลปลายปี ประกอบกับแรงหนุนจากกระแสการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลบวกต่อกลุ่มชิ้นส่วนฯ ทั้งหมด กล่าวคือ DELTA(FV@B80) ผลิตสินค้าพวก Data center และ Power supply, KEC([email protected]) ผลิตแผงวงจรไฟฟ้า PCB ในรถยนต์,SVI(FV@B6) ผลิตกล้องวิดีโอ และโดยเฉพาะ HANA(FV@B42) ที่ผลิตสินค้าในอุตาหกรรมรถยนต์ อย่าง จอ LED ในรถยนต์ และ เซ็นเซอร์ สำหรับติดรถยนต์ แต่จะพบว่ามีเพียง SVI และ HANA ราคาหุ้นยัง Laggard
โดยเลือก HANA เป็น Top pick เนื่องจากคาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานงวด 3Q59 เติบโตถึง 44.5% qoq จากการที่ลูกค้ากลับมาเพิ่มคำสั่งซื้ออีกครั้งภายหลังจากที่ชะลอคำสั่งซื้อชั่วคราวไปในงวด1H59 บวกกับการได้ลูกค้าใหม่ที่โรงงานกัมพูชาเข้ามา 2 รายในงวด 2Q59 และการปรับกลยุทธ์ไปเน้นผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นยังขึ้นน้อยมาก เทียบกับกลุ่มชิ้นส่วนฯ( SETETRON) ที่ปรับขึ้นกว่า 13% นับตั้งแต่จุดต่ำสุด (12 ก.ย.) แต่ HANA ปรับขึ้นมาเพียง 9% และราคาปัจจุบันมี PER เพียง 9.4 เท่า ต่ำกว่าทั้ง KCE(PER 19.1x) และ DELTA(PER 14.7x) และ HANA ยังจ่ายปันผลสูงถึง 8% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่ม (KCE Div yield 1.7%, DELTA Div yield 4.3% และ SVI 2.9 Div yield 2.9%) จึงแนะนำลงทุน HANA(FV@B42)
และสุดท้ายกลุ่มลิสซิ่ง คาดผลกำไรงวด 3Q59 ดีกว่างวด 2Q59 เนื่องจากพ้นช่วง low season แม้บางธุรกิจจะได้รับผลกระทบในช่วงฤดูฝน อาทิ ผู้ประกอบการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ (TK, S11, GL) แต่ คาดส่วนใหญ่ยังแสดงการเติบโตของกำไรสุทธิที่ดีในงวด 3Q59 คือ ASK (ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายลดลงอย่างมีนัยฯ ตั้งแต่ 3Q59), JMT (การตั้งสำรองหนี้ฯ ของสินเชื่อบุคคลลดลงอย่างมีนัยฯ), AUCT (จำนวนรถยนต์เข้าประมูลฟื้นตัวอย่างมีนัยฯ), LIT (ยอดเปิดวงเงินสินเชื่อแฟคตอริ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ เพื่อรองรับงานประมูลของภาครัฐที่เกิดขึ้น)
ยิ่งไปกว่านั้น จากมาตรการของภาครัฐที่ออกมาช่วยเหลือเกษตรกรวานนี้ ทั้งในส่วนของมาตรการเงินให้เปล่าเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยดังกล่าวข้างต้น น่าจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับเกษตรกรมากขึ้น และทำให้ภาระหนี้สินของเกษตรกรผ่อนคลายลง ซึ่ง น่าจะหนุนกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ-ลิสซิ่ง ดังนี้
กลุ่มเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ (TK, GL, S11) และ สินเชื่อจักรกลการเกษตร (GCAP) จะได้ประโยชน์มากที่สุด ฝ่ายวิจัยชอบ TK (FV’[email protected]) และ S11 (FV’[email protected]) มากที่สุด จากผลประกอบการจะเติบโตโดดเด่นใน 3Q59 ต่อเนื่องถึงสิ้นปี ยกเว้น GCAP (FV’[email protected]) คาดว่าจะแสดงผลการดำเนินงานงวด 3Q59 ยังทรงตัวในระดับต่ำใกล้เคียงกับงวด 2Q59 จึงยังแนะนำ switch
และฝ่ายวิจัยยังชื่นชอบ ASK (FV’[email protected]) เพราะจะได้ประโยชน์จากครงการก่อสร้างภาครัฐในช่วงปลายปี หนุนความต้องการสินเชื่อรถบรรทุก อีกทั้งยังคาดหวัง Dividend Yield ได้สูงกว่า 7% แต่มี P/E ต่ำเพียง 9.6 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside สูงถึง 32% นอกจากนี้ ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังในไตรมาส 4 ของ ASK ยังสูงถึง 6% ด้วยความน่าจะเป็นที่ผลตอบแทนเป็นบวกกว่า 60% รวมทั้ง KCAR (FV’[email protected]) Dividend Yield ได้สูงถึง 6% แต่มี P/E ต่ำเพียง 9.7 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside สูงถึง 53%
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์