- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 28 September 2016 16:34
- Hits: 1042
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ช่วงนี้ยังแนะให้เลือกหุ้นซื้อช่วงลบ แล้วเน้นถือเพื่อรอรอบบวกต่อไป
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ยังขยับบวกต่อเนื่องได้อีกเกือบทั้งวัน หลังจากตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่มีจังหวะแกว่งบวกเช่นกัน ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นฝั่งตะวันตกจะปิดปรับลงแรง จากความวิตกเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของดอยช์แบงก์ก็ตาม อย่างไรก็ตามความกังวลเกี่ยวกับกระแสคาดการณ์ที่ว่าการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันช่วง 26-28 ก.ย.นี้ น่าจะยังไม่ได้ข้อสรุป ทำให้มีแรงขายทำกำไรกดดัน SET ช่วงท้ายตลาดให้ปิดย้อนลบเล็กน้อย
แนวโน้มตลาดวันนี้ : แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ยังปิดเป็นลบต่อเนื่อง จากปัญหาของดอยช์แบงก์ และการร่วงลงอีกครั้งของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกถึงเกือบ 3% หลังอิหร่านและซาอุดิอาระเบียส่งสัญญาณว่าจะไม่ตรึงกำลังการผลิต ทำให้เป็นที่คาดกันว่าการประชุมกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่จะสิ้นสุดวันนี้คงไม่ได้ข้อสรุป แต่ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนนี้ปิดบวกได้เกือบ 1% ขานรับตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐเดือน ก.ย.ที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ยังมีลักษณะทรงตัวโดยแกว่งทั้งด้านบวกและลบให้เห็น ซึ่ง FSS คาดว่า SET ก็มีสิทธิแกว่งทรงตัว เพื่อลุ้นรอบบวกในช่วงถัดไปได้ด้วยเช่นกัน
กลยุทธ์ : FSS คาดว่า SET แค่พักตัวช่วงสั้น ก่อนลุ้นโอกาสแกว่งไต่ระดับขึ้นต่อในเร็วๆ นี้ ดังนั้นยังเลือกหุ้นซื้อช่วงอ่อนตัว แล้วเน้นถือไว้รอขายสูงต่อไป
แนวรับ 1487-1485 , 1482-1474 จุด
แนวต้าน 1493-1498 , 1502-1506 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : EKH , RP , S(short)
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$65ล้าน ส่วนใหญ่ไหลออกอินโดนีเซีย US$39ล้าน และไทย US$30ล้าน ขณะที่ไหลเข้าเกาหลีใต้ประเทศเดียว US$8ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางเบาบางลง ตลาดยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งความกังวลของฐานะการเงินของธนาคารในยุโรปและราคาน้ำมันที่ร่วงลงก่อนการประชุม OPEC – Non-OPEC จะจบลง
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(-) ความเสี่ยงในต่างประเทศยังมี แม้ผลการ Debate ครั้งแรกของนางฮิลลารี (พรรคเดโมแครต) และทรัมป์ (พรรครีพับลิกัน) ทำให้คะแนนนิยมของฮิลลารีดีขึ้น และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐเดือน ก.ย. ดีขึ้น สอดคล้องกับ PMI ภาคบริการที่ดีกว่าคาด แต่ความกังวลยังอยู่ที่ภาคธนาคารในยุโรปหลัง Deutsche Bank ถูกสั่งปรับเมื่อวันก่อน ทำให้ CDS Spread ของเยอรมนีและยุโรปยังคงปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันกลับมาร่วงหลังอิหร่านปฏิเสธที่จะลดกำลังการผลิต แนวโน้ม Flow น่าจะยังเบาบางเพราะยังมีการ Debate อีก 2 รอบของฮิลลารีและทรัมป์ 9 และ 19 ต.ค. และเลือกตั้ง 8 พ.ย.
(+) ADB ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทย เป็น +3.2% ในปีนี้จากเดิม +3% จากการใช้จ่ายภาครัฐและการบริโภคที่กระเตื้อง
(+) BCPG เป็นบริษัทในกลุ่ม BCP (BCP ถือ 70% หลัง IPO) ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในและต่างประเทศ (ญี่ปุ่น) กำลังการผลิตตามสัญญารวมประมาณ 138 MW และจะเพิ่มเป็น 239 MW ในปี 2018 ส่วนใหญ่ได้ Adder 8 บาท/หน่วย (ในประเทศ) และ 32-40 เยน/หน่วย (ญี่ปุ่น) สูงกว่าคู่แข่ง เราคาดกำไรสุทธิในช่วง 3 ปีข้างหน้าโตเฉลี่ย 7.3% ต่อปี บริษัทมีเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 1,000 MW ในปี 2020 ซึ่งเชื่อว่าน่าจะทำได้เพราะเงินทุนเพียงพอและภาครัฐสนับสนุน เราประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี SOTP เฉพาะโครงการที่ COD แล้วและโครงการที่มีความเป็นไปได้สูง ได้มูลค่าพื้นฐาน 12.00 บาท ที่ราคา IPO 10 บาทคิดเป็น PE ปีนี้ 10.7 เท่า และ PE ปีหน้า 9 เท่า (FSS เป็นผู้ร่วมในการจัดจำหน่ายหุ้น IPO ของ BCPG)
(+) KKP เราคาดกำไรสุทธิทรงตัวใกล้เคียงไตรมาสก่อนแต่เพิ่ม 40% Y-Y โดยรวมกำไรพิเศษจากการขาย KKTrade 30-50 ล้านบาทให้บล.หยวนต้า และคาดการตั้งสำรองลดลงมาอยู่ในระดับปกติเพราะใน 1H16 มีการตั้ง extra provision ไปจำนวนมาก ขณะที่ในด้านสินเชื่อ มีแนวโน้มว่า KKP จะเป็นแบงก์เล็กรายแรกที่มีสินเชื่อเพิ่มขึ้นหลังปรับกลยุทธ์สู่ตลาดอื่นที่ไม่ใช่เช่าซื้อ เราปรับกำไรปีนี้ขึ้น 4.8% เป็น +48.6% Y-Y โดยลดการตั้งสำรองลง คาดกำไรปีหน้า +6.5% Y-Y ปรับไปใช้ราคาพื้นฐานปีหน้าที่ 68 บาท (PE 11 เท่า) และคาด Dividend yield 7% ต่อปี (1H16 จ่ายแล้ว 2 บาท/หุ้น) คงคำแนะนำซื้อ
(+) MAJOR ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นไปสูงสุดปลาย ก.ค. สะท้อนกำไร 2Q16 ที่คาดว่าจะเป็นระดับสูงสุดของปีไปแล้ว ปัจจุบันมี 2017PE 20.5 เท่า ต่ำกว่าปกติที่อยู่ที่ 25 เท่า และมี upside กว่า 20% เราจึงกลับมาแนะนำซื้ออีกครั้งหนึ่ง ขณะที่กำไรสุทธิ 3Q16 คาด -50% Q-Q, -21% Y-Y เพราะมีหนังฟอร์มใหญ่น้อยกว่าไตรมาสก่อน แต่จะกลับเข้าสู่หน้าหนังอีกครั้งใน 4Q16 เรายังคาดกำไรทั้งปี +17% Y-Y และปีหน้าโตต่อเนื่อง +16% Y-Y จากหยังฮอลีวู้ดฟอร์มยักษ์ การขยายโรง 85 โรง เราแนะนำซื้อ MAJOR ราคาพื้นฐานปีหน้า 37 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
22-28 ก.ย. - ไทย: กกพ.ให้ยื่นขายไฟโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมไม่เกิน 50 MW
28 ก.ย. - ไทย: BCPG เข้าเทรดวันแรก (ราคา IPO 10 บาท)
- สหรัฐ: คำสั่งซื้อสินค้าคงทน (ส.ค.)
26-28 ก.ย. - ประชุม OPEC กับ Non-OPEC
29 ก.ย. - สหรัฐ: 2Q16 GDP (ตัวเลขสุดท้าย)
- ยูโรโซน: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจ (ก.ย.)
30 ก.ย. - ไทย: ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน ส.ค.
1 ต.ค. - ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (ก.ย.)
- จีน: Manufacturing & Non-manufacturing PMI (ก.ย.)
3 ต.ค. - ไทย: อัตราเงินเฟ้อ (ก.ย.)
- ญี่ปุ่น: ดัชนี Tankan (3Q16)
- ยูโรโซน: Markit Eurozone Manufacturing PMI (ก.ย.)
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดในแดนบวกแม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะดิ่งลง แต่นักลงทุนตอบรับเชิงบวกหลังการโต้วาทีนัดแรกระหว่าง 2 ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
(-) ด้านตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดลบเล็กน้อยโดยหุ้นในกลุ่มพลังงานถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลง ขณะที่หุ้น Deutsche Bank ร่วงลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
(0) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดผสมแม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯจะปรับขึ้นเมื่อคืน ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นลบค่อนข้างแรงจากค่าเงินเยนที่แข็ง
(0) ค่าเงินบาทยังแกว่งตัวออกด้านข้าง ล่าสุดยังเคลื่อนไหวในกรอบ 34.55-34.67 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ย. ร่วงแรง 1.26 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 44.67 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังอิหร่านและซาอุดิอาระเบียส่งสัญญาณว่าจะไม่ตรึงกำลังการผลิต และยังมีข้อมูลว่าสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวเพิ่มขึ้น
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ร่วงลง 13.70 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,330.40 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยนักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยหลังผลสำรวจบ่งชีว่านางฮิลลารี คลินตันได้รับเสียงตอบรับที่ดีหลังการดีเบตนัดแรกวานนี้
Contact person : Somchai Anektaweepon Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852 www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch