- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 27 September 2016 18:58
- Hits: 2843
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เลือกซื้อเหนือเส้น SMA10/ถือหุ้นปันผล'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : TASCO (จากถือเป็น Fully Valued)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ผันผวน แต่ปิดลดลงไม่มาก (-2.74 จุดที่ 1490.14) มูลค่าซื้อขายซบเซาเพราะนักลงทุนส่วนหนึ่ง Wait & See เพื่อรอข่าวใหม่ รวมทั้งกังวลกับความไม่แน่นอนในประเทศด้วย นักลงทุนต่างชาติและพอร์ตบล.ขายสุทธิ สถาบันในประเทศและรายย่อยซื้อสุทธิ
ตลาดประเมินว่าสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส 3 นักลงทุนสถาบันน่าจะมีการทำ Window dressing (อย่างน้อยถ้าไม่ทำบวกก็พยุงไม่ให้ร่วงแรง) สำหรับการประชุมหารือนอกรอบของกลุ่มโอเปกและรัสเซีย นักลงทุนไม่ได้คาดหวังผลมากนัก ปัจจัยที่จับตา คือ ผลการดีเบตรอบแรกระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน (ดีเบตเช้าวันนี้ 8.00 น.ตามเวลาไทย) ซึ่งหากทรัมป์ชนะการดีเบต ตลาดมีโอกาสผันผวนมากขึ้น, ตัวเลข PMI ภาคบริการ, Preview ผลประกอบการบจ.งวดไตรมาส 3/59, การเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท (ถ้าเงินบาทถ้าอ่อนตัวเร็วก็เป็นสัญญาณไม่ดี บ่งชี้ว่าน่าจะมีเงินทุนไหลออก)
กลยุทธ์ : ยังคงแนะนำให้เลือกซื้อหุ้นที่ธุรกิจและกำไรยังเติบโตได้ดีเมื่อ SET ยังเหนือเส้น SMA10 โดยเน้นเพื่อการเล่นรอบไว้ก่อน (จนกว่าจะมีสัญญาณบ่งชี้ว่าจบขาลงแล้ว) สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น ANAN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญาณระยะสั้นเป็นบวกเล็กๆ แต่ยังต้องระวังการแกว่งจากแรงขายทำกำไรระยะสั้น ให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 1500, 1510 จุด การอ่อนตัวจนหลุด 1480 จุดดูไม่ค่อยดี แนะนำให้ชะลอการลงทุน/ลดพอร์ตตามกรณีที่มีเงินสดเหลืออยู่น้อย เพราะมีโอกาสอ่อนตัวลงแรงได้
สำหรับผลการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่ คือ CPN, LPH, BA ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ TOP, CWT, BAFS, JASIF, RJH, TISCO, EPG, TU, SPF หุ้นที่หลุด List เป็น GLOBAL ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ RJH
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
สหรัฐ : ฮิลลารี & ทรัมป์ ดีเบตเช้าวันนี้ (8.00 น.เวลาไทย)
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงก่อนที่การโต้วาทีครั้งแรกระหว่างนางฮิลลารี ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต และนายทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน จะมีขึ้นที่มหาวิทยาลัยฮอฟสตรา รัฐนิวยอร์ก ในเวลา 08.00 น.ตามเวลาไทยในวันนี้ โดยจะใช้เวลา 90 นาที และจะมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ผ่านเครือข่ายยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ รวมทั้งช่อง CNN และ BBC ไปยังผู้ชมทั่วโลก แดเนียล คลิฟตัน หัวหน้าสถาบันวิจัยสเตรทแกส เห็นว่า "ถ้าฮิลลารีชนะดีเบตครั้งนี้ ดัชนี S&P 500 น่าจะพุ่งขึ้นแรง แต่ถ้าทรัมป์ชนะการดีเบต นักลงทุนจะเทขายหุ้นเนื่องจากทรัมป์เป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้"
/- สหรัฐ : ยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค.ลดลงหลังพุ่งแรงเดือนก่อน
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่ายอดขายบ้านใหม่ -7.6%MoM ในเดือนส.ค. สู่ระดับ 609,000 ยูนิต หลัง +13.8%MoM ในเดือนก.ค. สู่ระดับ 659,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2550
+ ยูโรโซน : ยืนยันเศรษฐกิจภูมิภาคแข็งแกร่งพอที่จะรองรับความเสี่ยง/ไม่แน่นอน
นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวเมื่อวันก่อนนี้ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนสามารถรับมือเป็นอย่างดีต่อความไม่แน่นอนในตลาดโลก เช่น การที่อังกฤษลงประชามติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) และแม้ว่าแนวโน้มอุปสงค์ในต่างประเทศจะย่ำแย่ลงก็ตาม ล่าสุดดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นยูโรโซนอยู่ที่ 52.6 ในเดือนก.ย. อ่อนลงเล็กน้อยจาก 52.9 ในเดือนส.ค. โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นเพิ่มขึ้นสู่ 52.6 จากระดับ 51.7 แต่ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นลดลงเป็น 52.1 จากระดับ 52.8 อย่างไรก็ดี ดัชนีที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ถึงการขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ร่วงก่อนมีดีเบต & วิตกปัญหาดอยซ์แบงก์
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (26 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่นางฮิลลารี คลินตัน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเผชิญหน้ากันในการโต้วาทีครั้งแรก และยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของดอยซ์แบงก์ หลังจากมีข่าวว่ารัฐบาลเยอรมนีปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือธนาคารรายใหญ่แห่งนี้ ปิดตลาดดัชนี DJIA ร่วงลง 166.62 จุด หรือ -0.91% ดัชนี NASDAQ ลดลง 48.26 จุด หรือ -0.91% ดัชนี S&P500 ลดลง 18.59 จุด หรือ -0.86%
- ปัญหาดอยซ์แบงก์กดดันตลาด
ดอยซ์แบงก์ ธนาคารรายใหญ่ของเยอรมนีถูกกดดันหนักขึ้นหลังมีข่าวว่านางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีเมินให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อดอยซ์แบงก์ อันเนื่องมาจากการที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้เรียกร้องให้ดอยซ์แบงก์จ่ายค่าปรับเป็นเงิน 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อยุติการสอบสวนในคดีที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ทางด้านดอยซ์แบงก์เปิดเผยว่า ธนาคารยังไม่มีแผนที่จะยุติคดีความทางแพ่งด้วยการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว พร้อมระบุว่าธนาคารยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นการเจรจากับสหรัฐ และคาดหวังว่าผลของการเจรจาจะนำไปสู่การชำระเงินในจำนวนที่ไม่ต่างจากที่สถาบันการเงินอื่นๆได้ชำระตามที่ถูกเรียกร้อง
ทั้งนี้หุ้นดอยซ์แบงก์ในตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลง 7.1% และฉุดหุ้นธนาคารอื่นดิ่งลงด้วย โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ปร่วง 2.7% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ลดลง 2.2% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกาปรับลง 2.6%
+ ราคาน้ำมันดิบ : รีบาวด์ก่อนการประชุมนอกรอบฯ 26-28 ก.ย.นี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 1.45 ดอลาร์ หรือ 3.3% ปิดที่ 45.93 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 1.46 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 47.35 ดอลลาร์/บาร์เรล ตลาดจับตาการประชุมระหว่างกลุ่มโอเปกและรัสเซียที่มีกำหนดจัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 26-28 ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นการประชุมนอกรอบการประชุมพลังงานระหว่างประเทศ (IEF) ที่แอลจีเรีย โดยที่ประชุมจะหารือการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่าจะไม่มีการบรรลุข้อตกลงใดๆ จากการประชุมครั้งนี้
ราคาทองคำ : ขยับขึ้นเล็กน้อย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 2.4 ดอลลาร์ หรือ 0.18% ปิดที่ระดับ 1,344.10 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ ส่งออกส.ค.พุ่งขึ้น 6.5%YoY และถ้าไม่รวมส่งออกรถยนต์ที่เลื่อนมาจากก.ค.ก็ยัง +4.4%
กระทรวงพาณิชย์แถลงมูลค่าส่งออกไทยเดือนส.ค.59 มีมูลค่า 18,825 ล้านเหรียญสหรัฐ +6.5% (ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ -1.4%) เพราะมียอดส่งอออกรถยนต์ที่เลื่อนการบันทึกจากเดือนก.ค.มาเป็นส.ค.มูลค่า 370 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ถ้าหักรายการนี้ออก มูลค่าส่งออกส.ค.ก็ยัง +4.4% ส่วนมูลค่านำเข้ามีมูลค่า 16,697 ล้านเหรีญสหรัฐ -1.5% ส่งผลให้เกินดุลการค้า 2,128 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับงวด 8M59 มูลค่าส่งออก -1.2% และมูลค่านำเข้า -8.8% เกินดุลการค้า 15,384 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดส่งออกค่อยๆปรับตัวดีขึ้นทุกตลาด ยกเว้นตะวันออกกลางที่ยังหดตัว ปริมาณส่งออกมันสำปะหลัง ไก่แปรรูป และผลไม้ เติบโตดี
สำหรับมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรโดยรวมยัง -4.1% ในเดือนส.ค.59 และ -5.9% ในช่วง 8M59 ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมพลิกเป็นเติบโตที่ +9.0% (โดยหลักมาจากรถยนต์และส่วนประกอบ, เหล็กและผลิตภัณฑ์, อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์/ไดโอด และผลิตภัณฑ์ยาง) รวม 8M59 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม +1.0%
แนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 59 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ และมีโอกาสขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือน ต.ค. พ.ย. และ ธ.ค. โดยมีปัจจัยสำคัญจากแนวโน้มการทรงตัวของราคาน้ำมันดิบ ทิศทางค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า และเศรษฐกิจโลกค่อยๆปรับตัวดีขึ้น สำหรับทั้งปี 59 คาดว่ามูลค่าส่งออกจะ -1.0% หรือ 0.0%
ADVANC (ราคาปิด 161.50 บาท) : การแข่งขัน&ค่าใช้จ่ายสูง แต่ Yield ปันผลปี 60 ก็ยังสูงกว่า 5%
บริษัทจะต้องเริ่มจ่ายค่าเช่าโครงข่าย TOT ตั้งแต่ต.ค.59 ซึ่งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเข้ามาเพิ่ม 975 ล้านบาทในปี 59 และมีค่าใช้จ่ายด้าน Handset เพิ่มเพื่อให้สอดคล้องกับการแข่งขันของอุตสาหกรรม ซึ่งค่าใช้จ่ายด้านการตลาดน่าจะยังสูงต่อในปี 60 ทาง DBSV จึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 59/60 ลง 7%/2% และราคาพื้นฐานลดเล็กน้อยเป็น 174 บาท (เดิม 175 บาท) ส่วนคาดการณ์ Dividend ปีนี้อยู่ที่ 11.10 บาท/หุ้น (สมมติฐาน Payout ratio 100%) และปี 60 อยู่ที่ 9.24 บาท (สมมติฐาน Payout ratio 80%) ซึ่งคิดเป็น Yield ปี 59-60 ที่ 6.8% และ 5.7% ตามลำดับ
+ ANAN (ราคาปิด 4.66 บาท) : โครงการร่วมทุนกับมิตซุยฯไปได้ดี...ปรับเป้าขายปีนี้เป็น 2.15 หมื่นล้านบาท
นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ANAN เปิดเผยว่าบริษัทและทางมิตซุย ฟูโดซัง ได้ทำสัญญาร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท และยังมีโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมทุนในอนาคตอีกหลายโครงการโดยยังคงเน้นทำเลใกล้รถไฟฟ้า ทั้งนี้บริษัทได้มีการร่วมมือกันพัฒนาโครงการติดรถไฟฟ้ามาแล้ว 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 45,000 ล้านบาท
หลังรายงานกำไร 2Q59 บริษัทได้มีการปรับเพิ่มเป้ายอดขายปีนี้เป็น 21.5 พันล้านบาท (จากเดิม 20.5 พันล้านบาท) สืบเนื่องจากการขายในปัจจุบันไปได้เป็นอย่างดี เนื่องจากโครงการอยู่ใกล้รถไฟฟ้า และผู้บริโภคหันมาซื้อคอนโดใกล้รถไฟฟ้ามากขึ้นทั้งให้เป็นบ้านหลังแรกและบ้านหลังที่สองเพื่อให้สอดคล้องกับชีวิตในยุคปัจจุบัน บริษัทจะมีการเปิดขายโครงการใหม่ของบริษัทร่วมทุน 1 โครงการใน 3Q59 และอีก 2 โครงการใน 4Q59 ซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายและกำไรในช่วง 2 ปีข้างหน้าต่อไป ในเชิงกลยุทธ์ เราชอบ ANAN ที่จะเติบโตโดดเด่นมากในปี 60 ขณะที่อุตสาหกรรมจะขยายตัวได้ไม่มาก ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ประมาณการกำไรสุทธิปี 59-60 ขยายตัว 17% และ 67% ตามลำดับ แนะนำซื้อ ประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 5.60 บาท ซึ่งอิงกับเป้าหมาย P/E ปี 60 ที่ 8 เท่า
BCPG : เข้าซื้อขายวันแรก 28 ก.ย.59 ราคา IPO 10 บาท/หุ้น
บมจ.บีซีพีจี (BCPG) เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรกในวันที่ 28 ก.ย.นี้ หลังได้เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 590 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 10 บาท โดย BCPG เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในเครือ BCP บริษัทมีเป้าหมายภายในปี 63 จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 1,000 MW ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งแล้ว 418 MW เป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 324 MW (มีทั้งในประเทศไทยและญี่ปุ่น) และกำลังเดินหน้าลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตตามเป้าหมายต่อ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนเฉลี่ย 80 ล้านบาท/MW แหล่งเงินทุนมาจาก IPO และกู้ยืม นอกจากนั้นบริษัทยังสนใจลงทุนพัฒนาโครงการพลังความร้อนใต้พิภพ พลังงานลม ก๊าซชีวภาพ ชีวมวล และขยะ ซึ่งจะมีทั้งลงทุนเอง เข้าซื้อกิจการ และร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ สำหรับ EBITDA ของโครงการที่ลงทุนในไทยอยู่ที่ 15-16 ล้านบาท/MW และในญี่ปุ่น 8-10 ล้านบาท/MW ซึ่งในการลงทุนใหม่ๆ บริษัทจะพยายามไม่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ BCPG มีนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]