- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 26 September 2016 17:54
- Hits: 2444
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อเล่นรอบ/ถือต่อเมื่อ SET เหนือ SMA10'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ปิดลดลง 13.11 จุดที่ 1492.88 เป็นผลจากการขายทำกำไรหลังดัชนีปรับขึ้นแรงในระยะเวลาเพียงสัปดาห์เศษ และตลาดจบเรื่องสำคัญ คือ การประชุมเฟดและบีโอเจแล้ว รวมทั้งกังวลความไม่แน่นอนในประเทศ นักลงทุนต่างชาติพลิกเป็นขายสุทธิ 549 ล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 746 ล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อขายใกล้เคียงกัน ส่วนพอร์ตบล.นำซื้อสุทธิ
ตลาดมีโอกาสแกว่งตัวในช่วงต้นสัปดาห์และหากไม่มีปัจจัยเสี่ยงใหม่เข้ามาเพิ่มก็อาจมีการทำราคาปิดสิ้นไตรมาส 3 หรือ Window dressing ในช่วงท้าย แต่ถ้ามีความเสี่ยงใหม่เข้ามาเพิ่มก็อาจอยู่ในทิศทางอ่อนต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า SET Index หลุดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน (SMA10) สำหรับปัจจัยจับตา คือ ตัวเลขเศรษฐกิจประเทศชั้นนำ (PMI ภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นเดือนก.ย.), การดีเบตรอบแรกระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน (ดีเบต 26 ก.ย.59) ซึ่งหากทรัมป์ชนะการดีเบตรอบนี้ นักวิเคราะห์มองว่าตลาดจะผันผวนมากขึ้น, การ Preview ผลประกอบการไตรมาส 2/59 บริษัทจดทะเบียน, แรงซื้อ/ขายของนักลงทุนต่างชาติ และกาเรปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทเพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ถ้าเงินบาททรงๆ หรือแข็งค่าเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอ่อนตัวเร็วก็เป็นสัญญาณไม่ดี อาจมีเงินทุนไหลออก)
กลยุทธ์ : ยังคงแนะนำให้เลือกซื้อหุ้นที่ธุรกิจและกำไรยังเติบโตได้ดีเมื่อ SET ยังเหนือเส้น SMA10 โดยเน้นเพื่อการเล่นรอบไว้ก่อน (จนกว่าจะมีสัญญาณบ่งชี้ว่าจบขาลงแล้ว) สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น TKN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญาณระยะสั้นเป็นลบเล็กๆ และยังต้องระวังการแกว่งจากแรงขายทำกำไรระยะสั้น ให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 1500, 1510 จุด การอ่อนตัวจนหลุด 1470 จุดดูไม่ค่อยดี แนะนำให้ชะลอการลงทุน/ลดพอร์ตตามกรณีที่มีเงินสดเหลืออยู่น้อย เพราะมีโอกาสอ่อนตัวลงแรงได้
สำหรับผลการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่ คือ JWD, TU, SPF ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ TOP, CWT, AAV, BAFS, JASIF, RJH, TISCO, EPG, GLOBAL หุ้นที่หลุด List -ไม่มี- ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ CKP
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
/- สหรัฐ : PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนก.ย.อ่อนลงแต่ยังสูงกว่า 50
มาร์กิตเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนก.ย. ของสหรัฐลดลงเป็น 51.4 จาก 52.0 ในเดือนส.ค.
สหรัฐ : ทีมผู้สมัครสองพรรคจะดีเบตครั้งแรกในวันที่ 26 ก.ย.นี้
สหรัฐจะมีการดีเบตในวันจันทร์ที่ 26 ก.ย.59 ซึ่งตรงกับช่วงเช้าวันอังคารตามเวลาไทย โดยจะเป็นเวทีปะทะคารมเป็นครั้งแรกในจำนวน 3 ครั้ง ระหว่างผู้สมัครจากทั้ง 2 พรรค คือ เดโมแครตที่นำโดยนางฮิลลารี่ คลินตัน และพรรครีพับลิกันที่นำโดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ การดีเบตจะมีขึ้นที่มหาวิทยาลัยฮอฟสตราในนิวยอร์ก ใช้เวลาดีเบต 90 นาที
/- ยูโรโซน : ดัชนี PMI ภาคบริการลดลงในเดือนก.ย. ขณะที่ภาคผลิตขยับขึ้นเล็กน้อย
มาร์กิต อิโคโนมิคส์ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นยูโรโซนอยู่ที่ 52.6 ในเดือนก.ย. ลดลงจาก 52.9 ในเดือนส.ค. และทำสถิติต่ำสุดในรอบ 20 เดือน โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นเพิ่มขึ้นสู่ 52.6 จากระดับ 51.7 แต่ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นลดลงเป็น 52.1 จากระดับ 52.8
สำหรับประเทศเยอรมนี ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซน มาร์กิต อิโคโนมิคส์ เปิดเผยว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการของเยอรมนีขั้นเบื้องต้นเดือนก.ย. อยู่ที่ระดับ 52.7 ลดลงจากระดับ 53.3 ในเดือนส.ค. และทำสถิติต่ำสุดในรอบ 16 เดือน โดยดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นปรับตัวลงสู่บ 50.6 ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 39 เดือน จากระดับ 51.7 ขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นในเดือนก.ย. ปรับตัวขึ้นเป็น 54.3 จากระดับ 53.6 ในเดือนส.ค.
- จีน : ฟิทช์ฯคาด NPL ธนาคารในประเทศจีนสูงกว่าที่รายงานเป็นทางการอย่างมาก
ฟิทช์ เรทติ้งส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ออกรายงานเตือนว่า หนี้เสียในระบบการเงินของจีนอาจสูงเป็น 10 เท่าของตัวเลขประเมินอย่างเป็นทางการ ฟิทช์เปิดเผยว่า NPL ของจีนอาจสูงถึง 15-21% ของสินเชื่อรวม ขณะที่ตัวเลขอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 1.8% ณ สิ้นเดือนมิ.ย.59 ทั้งนี้มีแนวโน้มว่า NPL จะยังเพิ่มขึ้นในระยะกลางโดยมีสัญญาณจากการที่ธนาคารหลายแห่งได้ตัดหนี้เสียถี่ขึ้น ซึ่งฟิทช์ฯประเมินว่าการแก้ไขปัญหาหนี้เสียของจีนจะทำให้เกิดการขาดแคลนเงินทุนถึง 7.4-13.6 ล้านล้านหยวน (1.1-2.1 ล้านล้านดอลลาร์) ซึ่งเทียบเท่ากับราว 11-20% ของจีดีพีจีน และเห็นว่ารัฐบาลจีนควรเข้ามาช่วยแก้ปัญหาหนี้ภาคเอกชน แต่การดำเนินการดังกล่าวอาจกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของจีน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ A+ และแนวโน้มมีเสถียรภาพ
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดลดลงหลังจบการประชุม FED
ดัชนี DJIA ปรับลดลง 131.01 จุด หรือ -0.71% ปิดที่ 18,261.45 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 12.49 จุด หรือ -0.57% ปิดที่ 2,164.69 ดัชนี Nasdaq ลดลง 33.77 จุด หรือ -0.63% ปิดที่ 5,305.75 หลังเสร็จสิ้นการประชุม FED และยังไม่มีข่าวใหม่ที่มีนัยสำคัญเข้ามา รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่ลดลงก็กดดันหุ้นกลุ่มพลังงานด้วย
- ราคาน้ำมันดิบ : ลดลงเพราะซาอุฯคาดไม่มีข้อตกลงในการประชุมสัปดาห์นี้
เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของซาอุดิอาระเบียกล่าวในวันศุกร์ว่าการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันในสัปดาห์นี้ไม่น่าจะบรรลุข้อตกลงใดๆได้ (กลุ่มโอเปกและรัสเซียจะประชุมกันในวันที่ 26-28 ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นการประชุมนอกรอบการประชุมพลังงานระหว่างประเทศ (IEF) ที่แอลจีเรีย) รวมทั้งเบเกอร์ ฮิวจ์ รายงานว่าจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่เปิดใช้งานในสหรัฐมีจำนวนเพิ่มขึ้น 2 แท่นในสัปดาห์ก่อนหน้าสู่ระดับ 418 แท่นในสัปดาห์ก่อน สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.84 ดอลลาร์ หรือ 3.97% ปิดที่ 44.48 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.76 ดอลลาร์ หรือ 3.69% ปิดที่ 45.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ราคาทองคำ : ปิดอ่อนลง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 3 ดอลลาร์ หรือ 0.22% ปิดที่ระดับ 1,341.70 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
/+ ความคืบหน้าโครงการลงทุนรถไฟไทย-จีน…คาดเข้าครม.พิจารณาภายในเดือนต.ค.นี้
ปลัดกระทรวงคมนาคมเปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีนครั้งที่ 14 โดยครั้งนี้จะเป็นการหารือเพื่อสรุปรายละเอียดในส่วนของวงเงินก่อสร้างโครงการ รวมไปถึงการหารือเพื่อปรับรายละเอียดวัสดุก่อสร้างจากจีนเป็นไทยนำมาสู่การเปิดประกวดราคาที่จะเกิดขึ้นภายในปี 59 หลังจากนี้รฟท.จะสรุปรายละเอียดวงเงินก่อสร้างเสนอมายังกระทรวงคมนาคมในสัปดาห์นี้ แล้วส่งต่อยังไปให้ครม.อนุมัติโครงการในเดือนต.ค.59 ขณะเดียวกันส่วนของแบบก่อสร้างและกรอบวงเงินพัฒนาระยะแรก 3.5 กิโลเมตร (กม.) ช่วงสถานีกลางดง คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในช่วงเดือนต.ค.นี้เช่นกัน ซึ่งจะเป็นส่วนแรกที่ฝ่ายไทยจะทำการเปิดประกวดราคาเพื่อจัดหาผู้รับเหมา
JTS : พิชญ์ โพธารามิก"จะยื่นทำเทนเดอร์หุ้น JTS ที่ 1.50 บาท
JTS แจ้งว่าบริษัทได้รับแบบประกาศเจตนาในการเข้าถือหุ้นบริษัทของนายพิชญ์ โพธารามิก ซึ่งจะเป็นผู้ทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทจำนวน 706.46 ล้านหุ้น หรือทั้ง 100% ในราคาหุ้นละ 1.50 บาท คิดเป็นมูลค่าราว 1.06 พันล้านบาท เนื่องจากนายพิชญ์ได้เข้าถือหุ้น JAS เกินกว่า 50% แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการได้มาซึ่งอำนาจควบคุมของบริษัทโดยทางอ้อม โดยคาดว่าจะสามารถยื่นคำเสนอซื้อหุ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 ก.ย.59 หรือภายในระยะเวลาที่ได้ผ่อนผันจากสำนักงานก.ล.ต. สำหรับหุ้น JTS ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP ห้ามการซื้อขายชั่วคราว โดยราคาหุ้นซื้อขายล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ก.ย. อยู่ที่ 1.66 บาท
สำหรับ JTS ณ สิ้นมิ.ย.59 มีสินทรัพย์ 1,539 ล้านบาท มี BVS เท่ากับ 1.43 บาท/หุ้น สัดส่วนหนี้สินต่อทุน 0.5 เท่า งวด 6M59 มีรายได้ 49 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 64 ล้านบาท และมี Market cap 1,173 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับแรก คือ JAS ที่ 32.8% ของทุนเรียกชำระแล้ว
+ AOT : สรุปแผนขยายสนามบินหาดใหญ่
ที่ประชุมคณะกรรมการ AOT เมื่อ 21 ก.ย.59 มีมติเห็นชอบแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานหาดใหญ่ โดยแบ่งโครงการพัฒนาเป็น 2 ระยะ ระยะเวลาดำเนินโครงการ 20 ปี ระยะที่ 1 ระหว่างปี 2559 - 2568 วงเงินลงทุนกว่า 9,500 ล้านบาท ระยะที่ 2 ระหว่างปี 2569 - 2573 วงเงินลงทุนกว่า 5,600 ล้านบาท เป้าหมายเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 2.5 ล้านคนต่อปีในปัจจุบันเป็น 8.5 ล้านคนต่อปีในระยะที่ 1 (สิ้นสุดปี 68) และเป็น 10 ล้านคนต่อปีในระยะที่ 2 (สิ้นสุดปี 73)
+ TKN (ราคาปิด 21.40 บาท, ราคาพื้นฐาน 32 บาท) : โรงงานใหม่สร้างเสร็จแล้วกำลังทดสอบเครื่องจักร
การก่อสร้างโรงงานใหม่ของ TKN เสร็จแล้ว โดยมีกำลังการผลิต 6,000 ตัน/ปี (+90% จากปัจจุบัน) บริษัทกำลังอยู่ระหว่างทดสอบเครื่องจักร โดยคาดว่าจะเริ่ม Test run ได้ใน 1Q60 บริษัทมีแผนเพิ่มการผลิตเป็นเฟสๆ ซึ่งด้วยอุปสงค์ที่สูงมาก ทำให้มีแนวโน้มว่าระยะเวลาในการเพิ่มปริมาณการผลิตจะเร็วขึ้นจากแผนเดิม ทั้งนี้โรงงานใหม่นี้มีประสิทธิภาพสูงและทำให้มี Economy of scales เพิ่ม ดังนั้นอัตรากำไรขั้นต้นจึงสามารถปรับขึ้นได้ (คาดว่าจะเพิ่มจาก 35.4% ในปี 58 เป็น 36.1% ในปี 59 และ 36.5% ในปี 60) เราชอบ TKN ที่มีการเติบโตแข็งแกร่ง และบริษัทก็มีการขยายกำลังการผลิต & ปรับปรุงประสิทธิภาพต่อเนื่อง รวมถึงหาช่องทางขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ (ล่าสุดเป็นสปอนเซอร์ให้ทีมฟุตบอลไทย และจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 2-3 แห่งในทำเลที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่น โดยสิ้นปี 58 มีแล้ว 5 สาขา) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยเป็นเงินสดสุทธิ ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำซื้อโดยเฉพาะเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว ราคาพื้นฐานทาง DBSV ให้ไว้ที่ 32 บาท (อิงกับ P/E ปี 60 ที่ 38 เท่า ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตของ EPS เฉลี่ยต่อปีช่วงปี 59-61)
BCPG : เข้าซื้อขายวันแรก 28 ก.ย.59 ราคา IPO 10 บาท/หุ้น
บมจ.บีซีพีจี (BCPG) เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรกในวันที่ 28 ก.ย.นี้ หลังได้เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 590 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 10 บาท โดย BCPG เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในเครือ BCP บริษัทมีเป้าหมายภายในปี 63 จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 1,000 MW ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งแล้ว 418 MW เป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 324 MW (มีทั้งในประเทศไทยและญี่ปุ่น) และกำลังเดินหน้าลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตตามเป้าหมายต่อ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนเฉลี่ย 80 ล้านบาท/MW แหล่งเงินทุนมาจาก IPO และกู้ยืม นอกจากนั้นบริษัทยังสนใจลงทุนพัฒนาโครงการพลังความร้อนใต้พิภพ พลังงานลม ก๊าซชีวภาพ ชีวมวล และขยะ ซึ่งจะมีทั้งลงทุนเอง เข้าซื้อกิจการ และร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ สำหรับ EBITDA ของโครงการที่ลงทุนในไทยอยู่ที่ 15-16 ล้านบาท/MW และในญี่ปุ่น 8-10 ล้านบาท/MW ซึ่งในการลงทุนใหม่ๆ บริษัทจะพยายามไม่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ BCPG มีนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]