- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 23 September 2016 15:23
- Hits: 906
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ทะลุ 1,500 จุด ด้วยแรงหนุนของ Fund Flow แต่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แนะให้เริ่มปรับพอร์ตถือเงินสด 70% ที่เหลือลงหุ้นกำไรเด่น 3Q59 (TFG, BDMS, BCH, HANA, BA) หรือปันผลสูง (RATCH, TTW, EASTW, MCS) Top pick PTT(FV@B400)
อินโดฯ ลดดอกเบี้ยฯ สะท้อนนโยบายการเงินผ่อนคลายยังมี
ข่าวบวกจากผลการประชุม Fed ที่ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในระยะยาวลง (Long term interest rate) พร้อมกับการปรับลด GDP Growth และ อัตราเงินเฟ้อลง แม้ส่งสัญญานขึ้นดอกเบี้ยภายในสิ้นปี 2559 1 ครั้งก็ตาม แต่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่า Fund Flow จะยังอยู่ในตลาดหุ้นเอเซียอีกระยะหนึ่ง แม้เห็นสัญญาณการขายในบางประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม TIPs ยกเว้นไทย
อย่างไรก็ตามล่าสุด ธนาคารกลางอินโดนีเซีย ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps มาอยู่ที่ 5% ซึ่งเป็นการปรับมาใช้ Repo Rate 7 วัน แทนดอกเบี้ยระยะ 1 ปี (ปัจจุบันอยู่ที่ 6.5% ซึ่งปีนี้ลดไปแล้ว 4 ครั้ง ซึ่งเป็นปรับมาเหมือนประเทศไทย) ทั้งนี้หลังจากอัตราเงินเฟ้อ ลดลง 6 เดือนติดต่อกัน (ล่าสุดอยู่ที่ 2.79% ต่ำสุดในรอบ 7 ปี ซึ่งถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ลดลง ) และ ผลจากค่าเงินรูเปียะห์ที่แข็งค่าราว 5.1% ytd (เป็นผลจาก เงินทุนไหลเข้าทั้งตราสารหนี้ และทุน แต่สำหรับตราสารทุนพบว่าเริ่มชะลอตัวในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา การลดดอกเบี้ยดังกล่าวถือว่าเป็นการสะท้อนถึงสภาพคล่องโลกที่ยังมีอยู่ และน่าจะหนุน ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเซีย
หุ้นน้ำมันยังนำตลาด.. Dollar อ่อนค่า และคาด Fed ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย
ราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นเนื่อง ตราบที่ Dollar Index มีแนวโน้มอ่อนค่า หลังจากที่ ประชุม Fed วานนี้ได้ส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยระยะยาวลง (รายละเอียดตาม Market Talk วานนี้) นอกจากนี้ความคาดหวังเชิงบวกต่อความร่วมมือเพื่อคงระดับการผลิต ของผู้นำในกลุ่ม OPEC ในการประชุมอย่างไม่เป็นทางการวันที่ 26-28 ก.ย. นี้ และสุดท้ายการรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐล่าสุดลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3 ล้วนหนุนราคาน้ำมันดิบดูไบ ปรับตัวขึ้นยืน 44.03 เหรียญฯต่อบาร์เรล สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย. และมีโอกาสปรับขึ้นสู่ระดับ 45 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นยอดสูงสุดล่าสุดเมื่อ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา และถัดมาคือ 48 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล เมื่อ 18 ส.ค. ที่ผ่านมา ช่วยหุ้นกลุ่มพลังงานทั้ง PTT(FV@B400) และ PTTEP(FV@B89) จึงยังแนะนำสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง – ยาว
Fund Flow ยังไหลเข้า...ผ่อนคลายจาก Fed ลดเป้าหมายดอกเบี้ยระยะยาว
หลังจาก Fed ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยฯ และยังปรับลดดอกเบี้ยเป้าหมายระยะยาวลง ยังหนุน Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคอเซีย โดยยังคงซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5 ด้วยมูลค่ากว่า 280 ล้านเหรียญ โดยเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้น ตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่ถูกขายสุทธิ 18 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) และฟิลิปปินส์ 1 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิติดต่อกันนานถึง 21 วัน) ตามลำดับ ส่วนที่เหลืออีก 3 ประเทศต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ คือ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิราว 157 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5) ตามมาด้วยไต้หวัน 83 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) และไทยที่ซื้อสุทธิราว 58 ล้านเหรียญ หรือ 2.0 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันฯที่ซื้อสุทธิราว 1.1 พันล้านบาท
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิสูงถึง 2.9 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 5.6 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4)
เข้าสู่ช่วง Earnings Preview 3Q59 กลุ่มธ.พ. ยังทรงตัว
เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังได้แรงหนุนจาก Fund Flow ตราบที่ Fed ยังไม่รีบร้อนขึ้นดอกเบี้ย และตลาดหุ้นไทยยังมีแรงดึงดูดทั้ง EPS Growth ที่สูง 31.2% ในปี 2559 (เทียบกับเพื่อนบ้าน 8.5% ในฟิลิปปินส์ 17.4% อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย -1.1%) และ P/E ไทยประมาณ 16.7 เท่า ใกล้เคียงกับ มาเลเซีย 16.7 เท่า แต่ต่ำกว่า อินโดฯ 17.7 เท่า และฟิลิปปินส์ ซึ่งน่าจะมีค่า P/E สูงสุดในภูมิคภาคคือที่ราว 19.7 เท่า
และขณะนี้กำลังจะสิ้นสุด 3Q59 นักวิเคราะห์ ASPS ได้ทยอยทำการประเมินผลกำไรเป็นรายกลุ่มฯ พบว่าโดยรวมน่าจะชะลอตัวจากงวด 1H59 โดยคาดว่าจะบางกลุ่มเท่านั้นที่ผลกำไรโดดเด่น โดยเฉพาะที่เข้าสู่ฤดูกาล ได้แก่ กลุ่มส่งออก เกษตรอาหาร ท่องเที่ยว และ โรงพยาบาล ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มี market cap ขนาดใหญ่ ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร พลังงานและ ธนาคารพาณิชย์ น่าจะมีแนวโน้มชะลอจากงวด 1H59 ซึ่งติดตามอ่านบทวิเคราะห์รายกลุ่มใน Equity Talk ได้นับจากนี้เป็นต้นไป
วานนี้นักวิเคราะห์ ASPS ได้ออกบทวิเคราะห์ถึงแนวโน้มผลกำไรในงวด 3Q59 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ออกมาเป็นกลุ่มแรก โดยแนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 3Q59 คาดว่าจะทรงตัวได้ใกล้เคียงกับงวด 2Q59 โดยมีเหตุผลหลักๆ คือ
1. สินเชื่อสุทธิ คาดว่าน่าจะเติบโตขึ้นเมื่อย่างเข้าสู่ช่วงฤดูกาล (แม้สินเชื่อสุทธิ 8M59 หดตัวเล็กน้อย -0.4%yoy ส่วนหนึ่งเกิดจากการชำระคืนหนี้ระยะสั้นของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจของ KTB และชำระคืนสินเชื่อของกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ของ LHBANK ขณะที่สินเชื่อรายใหญ่ SME และรายย่อยค่อนข้างทรงตัวจากการอยู่ช่วงนอกฤดูกาล) โดยเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากโครงการลงทุนภาครัฐที่ทยอยเปิดประมูลมากขึ้นในช่วง 2H59 กว่า 3 แสนล้านบาท ผลักดันความต้องการใช้สินเชื่อมากขึ้น
2. NIM คาดว่า 2H59 จะยังทรงตัวได้ใกล้เคียงกับงวด 1H59 เนื่องจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยลงจากนี้จะเริ่มจำกัด แม้ yield ของเงินให้สินเชื่อ จะลดลงจากผลของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทลงในช่วงเดือน เม.ย.59 ซึ่งจะส่งผลกระทบเต็มที่ในงวดนี้ แต่คาดผลกระทบจะถูกหักล้างไปด้วยผลบวกจากแนวโน้มการลดลงของต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย
3. รายได้ค่าธรรมเนียม น่าจะดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูกาล แม้ในช่วง 8M59 จะลดลงตามการเติบโตของสินเชื่อที่ยังค่อนข้างจำกัด ทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมฯ ที่เกี่ยวเนื่องแผ่วตามไปด้วย ขณะที่ผลกระทบจาก Prompt Pay อาจยังเห็นผลไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากจะเริ่มมีการใช้จริงในช่วง 4Q59
4. ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ มีแนวโน้มปรับตัวลดลงได้ต่อเนื่อง ตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวในชว่งครึ่งปีหลัง ขณะที่ภาพรวมคุณภาพสินทรัพย์ที่เริ่มเห็นสัญญาณบวกขึ้น อีกทั้ง ธ.พ.ส่วนใหญ่ได้กันสำรองหนี้ฯ อย่างเข้มงวดไปมากแล้วตั้งแต่งวด 1Q59
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ ASPS มีมุมมองที่ดีขึ้นต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยให้น้ำหนักการเติบโตที่ปี 2560 คาดผลการดำเนินงานจะเติบโตถึง 10.9% yoy หนุนด้วยสินเชื่อโครงการลงทุนใหญ่ของภาครัฐ ภาระการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่ลดลง
หุ้น Top picks เลือก KBANK(FV@B225) จากความพร้อมในการฟื้นตัวของธุรกิจได้อย่างรวดเร็วกว่ากลุ่มฯ เมื่อเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ทั้งประสิทธิภาพการหารายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย การควบคุมต้นทุนดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ
BBL(FV@B200) จากโครงสร้างสินเชื่อที่เน้นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ในสัดส่วนที่สุงมาก ทำให้ได้อานิสงค์ในช่วงที่เห็นภาวะการลงทุนใหญ่ของประเทศเกิดขึ้น
และ TCAP(FV@B50) จากแนวโน้มการฟื้นตัวของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในปี 2560 ประกอบกับพัฒนาการบวกของธุรกิจที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของผลการดำเนินงานได้ดีกว่า ธ.พ.กลาง-เล็ก อื่นๆ
กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นหุ้นที่กำไรงวด 3Q59 เด่น : BA, TFG, HANA
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มเดินหน้าเหนือ 1,500 จุด แต่เชื่อว่าความผันผวนมีมากขึ้น จึงแนะนำเริ่มปรับพอร์ตรายหุ้นหากราคาใกล้ Fair Value หรือมี upside จำกัด โดยยังให้ถือเงินสด 70% และให้ถือหุ้นส่วนน้อยที่เหลือ 30% และกลยุทธ์ยังเลือกเป็นรายหุ้น ซึ่งได้นำเสนอใน Market Talk ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ
โรงพยาบาล : BDMS (FV@B27) BCH (FV@B14) และ LPH(FV@B12)
ประโยชน์จากท่องเที่ยวสมุย BA ([email protected])
สู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวทั่วไทยงวดสุดท้ายของปี ดีต่อโรงแรม และธุรกิจอาหาร คือ ERW ([email protected]) ตามมาด้วย CENTEL (FV@B46 และ MINT (FV@B44)
กลุ่มชิ้นส่วนฯ : แนะนำหุ้น Laggards SVI ([email protected]) และ HANA (FV@B39)
กลุ่มเกษตร-อาหาร นอกจากเข้าฤดูกาลส่งออกอาหารสู่ต่างประเทศ หนุนราคาไก่ และ สุกร ยังทรงตัวสูงต่อเนื่องจากงวด 2Q59 แล้วราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลืองอ่อนตัว ดีต่อผู้ประกอบการทุกราย ชอบ TFG ([email protected]) มากสุด และ GFPT (FV’[email protected]) เนื่องจากราคาหุ้นยัง Laggard
และแนะนำหุ้นพื้นฐานแกร่ง และมีเงินปันผลสูง โดยเลือกหุ้นที่มีคุณสมบัติ คือ เงินปันผลเกินกว่า 4% ต่อปี, Ex.P/E ไม่เกิน 15 เท่า, มีความผันผวนต่ำ (Beta ไม่เกิน 1) และมี upside สูงเกินกว่า 15% คือ MCS ([email protected]) RATCH (FV@B60) และ ASK ([email protected])
รวมถึงหุ้นที่ให้เงินปันผลรองลงมาคือ คือ Dividend Yield ตั้งแต่ 3.5% ขึ้นไป P/E ต่ำกว่าตลาดฯ และ upside ตั้งแต่ 10% ขึ้นไป คือ TTW ([email protected]) EASTW ([email protected]) และ GLOW (FV@B95) HANA (FV@B39) SCCC (FV@B342) PTT (FV@B400) ADVANC (FV@B189) นอกจากนี้ ยังแนะนำ property fund ที่มีความผันผวนต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สม่ำเสมอ ได้แก่ CPNRF, TFUND และ POPF เป็นต้น
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์