- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 15 September 2016 16:55
- Hits: 743
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ตลาดหุ้นไทยวานนี้
SET INDEX วานนี้ยังคงไต่ระดับขึ้นต่อเนื่อง แต่ลดความร้อนแรงลงมาจากวันก่อนหน้า โดยแนวต้าน 1,460 จุด ยังทำงานได้ค่อนข้างดี หุ้นหลักในกลุ่มธนาคารเป็นปัจจัยหลักในการผลักดัน SET INDEX วานนี้ ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX บวกเป็นวันที่ 2 อีก 11.35 จุดมาอยู่ที่ 1,458.19 จุด มูลค่าการซื้อขาย 51,058 ล้านบาท
ทั้งนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 6 อีก 1,478 ล้านบาท แต่กลับมา Short สุทธิ SET50 Index Futures จำนวน 6,503 สัญญา และขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 5 เร่งขึ้นเป็น 6,361 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
กนง. ปรับ GDP ปีนี้ขึ้นเป็น 3.2% จากเดิม 3.1% และคงเป้าปีหน้า 3.2% โดยให้ความเสี่ยงกับเศรษฐกิจโลก และการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัว
ติดตามการประชุม BoE วันนี้ เราและตลาดคาดคงนโยบายการเงิน หลังผ่อนคลายไปในการประชุมครั้งก่อนหน้า
โอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้าลดลงเป็น 20% จากวันก่อนหน้า 22%
มุมมองต่อตลาดวันนี้: กลาง
SET INDEX ฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดรอบนี้ 47 จุดหรือ 3.33% ภายใน 2 วันทำการที่ผ่านมา เราเชื่อว่า SET INDEX จะลดความร้อนแรงลงในวันนี้ ด่าน 1,460-1,470 จุดมีโอกาสขึ้นไปทดสอบระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย แต่น่าจะเกิดแรงขายทำกำไรมากขึ้นเช่นกัน เราประเมินกรอบแกว่ง SET INDEX วันนี้ระหว่าง 1,450-1,470 จุด หุ้นขนาดกลางคาดว่าจะกลับมาเด่น
ปัจจัยสำคัญทางด้านพื้นฐานคือ สศค.ปรับประมาณการ GDP ในปีนี้ขึ้นเป็น 3.2% จากเดิม 3.1% ด้วยเหตุผลของกำลังซื้อภายในประเทศที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นสัญญาณบวกต่อกลุ่มธนาคารที่เน้น Retail Banking กลุ่มค้าปลีก และสินค้าคงทนอย่างกลุ่มอสังหาฯ แนวโน้มผลการดำเนินงาน 2H59 จะดีกว่า 1H59
ณ ระดับปิดระหว่างวันที่ 12-14 ก.ย. SET INDEX ฟื้นตัว 0.89% นำโดยกลุ่มธนาคาร +2.17%, กลุ่มโรงพยาบาล +1.88% และกลุ่มประกันภัย +1.72% ขณะที่กลุ่มขนส่ง +0.44%, กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ +0.39% และกลุ่มอสังหาฯ +0.20% ผลตอบแทนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มที่ฟื้นตัวในช่วงสั้นเด่นกว่ากลุ่มหลัก
กลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำให้ "เริ่มทยอยขายทำกำไรหุ้นหลักบริเวณ 1,460 จุดขึ้นไป และกลับมาถือเงินสด หรืออาจแบ่งเงินบางส่วนเข้ามาเก็งกำไรหุ้นขนาดกลางที่แนวโน้มผลการดำเนินงานเด่นใน 2H59
Strategy of the Day
1. สะสม TPIPL : ราคาปิด 2.10 บาท ราคาเหมาะสม 2.85 บาท
a) MBKET คาดว่าราคาหุ้น TPIPL จะ Outperform ตลาดใน 4Q59 หลังกลต. เริ่มนับ 1 ไฟลิ่งของทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) แล้ว สะท้อนให้เห็นว่าการนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียน IPO ยังเป็นไปตามกำหนดการณ์ที่วางไว้คือภายในปี 2559
b) ประเมินเบื้องต้น คาดว่า Market Cap ของ TPIPP จะไม่ต่ำกว่าระดับ 4 หมื่นล้านบาท เป็นการปลดล็อก Asset Value ที่มีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับ Market Cap ของ TPIPL ปัจจุบันที่ 4.1 หมื่นล้านบาท โดย TPIPL จะถือหุ้นสัดส่วน 70% ใน TPIPP หลัง IPO
c) มี Upside Risk ต่อประมาณการกำไรปี 2560 ที่ 3.5 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีแผนที่จะยกส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ออกจากงบการเงิน โดยหักลบกับส่วนเกินทุนที่เพิ่มขึ้นจากการนำลูกเข้า IPO ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเสื่อมราคาตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป ลดลงถึงปีละ 1,300 ล้านบาท
2. สะสม BCH : ราคาปิด 11.20 บาท ราคาเหมาะสม 13.00 บาท
a) MBKET คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานใน 3Q59 จะเติบโตเด่น qoq และ yoy จากผลของฤดูกาล, การรับรู้รายได้ประกันสังคมที่เลื่อนจาก 2Q59 มาเป็นไตรมาสนี้ และการรับรู้รายได้ส่วนของความเสี่ยงของ 26 โรคขึ้น
b) ผลการดำเนินงานของ WMC ปรับตัวดีขึ้น EBITDA เริ่มเป็นบวกในเดือนส.ค. และคาดว่าจะกลับมามีกำไรสุทธิได้ปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้าเป็นอย่างช้า จะทำให้ผลการดำเนินงานปี 2560 ของ BCH เพิ่มขึ้นจากการกลับมาคุ้มทุนของ WMC ราว 100 ล้านบาท/ปี
c) เราประเมินว่ากำไรสุทธิในปี 2559 ที่ทำไว้ 686 ล้านบาท เติบโต 30% มี Upside risk จากตัวแปรของจำนวนผู้ใช้สิทธิประกันสังคม และผลการดำเนินงานของ WMC ที่อาจออกมาดีกว่าคาด
d) ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันปรับตัวลง 5.08% MTD มากกว่ากลุ่มที่ลดลง 4.92% ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงาน BCH ในปีหน้าเติบโตเด่นสุดในหุ้นหลักของกลุ่ม ภายใต้ PEG60 เท่ากับ 1.83x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 3.7x และของภูมิภาคที่ 2.6x
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 อีกเล็กน้อย US$26 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$136 ล้าน
ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดเดียวใน TIP ที่ต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่อง
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติยังคงเลือกสะสมหุ้นรายตัว
นักลงทุนต่างชาติ คงการซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 6 ลดลงเหลือ 1,478 ล้านบาท รวม 6 วันทำการซื้อสุทธิ 10,539 ล้านบาท ส่งผลให้ YTD ต่างชาติซื้อสุทธิขยับขึ้นเป็น 127,941 ล้านบาท
ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Short สุทธิอีกครั้ง มากถึง 6,503 สัญญา น่าจะเป็นการกลับมาทยอยเปิดสถานะ Short อีกครั้ง เมื่อ S50U16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index เป็นวันที่ 3 กว้างขึ้นเป็น 2.45 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เท่ากับ 1.36 จุด ส่งผลให้ยอด QTD นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Short สุทธิขยับขึ้นเป็น 37,087 สัญญา
และนักลงทุนกลุ่มนี้ คงการขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 5 เร่งขึ้นเป็น 6,361 ล้านบาท รวม 5 วันทำการขายสุทธิ 12,255 ล้านบาท แม้ว่าราคาพันธบัตรไทยทรงตัวต่อเนื่อง ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรไทย อายุ 10 ปี ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 4 เพียง 0.05bps ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าเพิ่มขึ้นเพียง 0.04bps ปิดที่ 2.181%
Short-Selling วานนี้
ลดลงเป็น 1,764 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 3,575 ล้านบาท และ SBL กระจายตัวไปใน 82 หุ้น
NVDR Movement
NVDR กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ ขายทำกำไรในกลุ่มธนาคาร พลังงาน ค้าปลีก
การซื้อขายผ่าน NVDR กลับมาขายสุทธิอีกครั้ง 660 ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 3,983 ล้านบาท โดยเป็นการขายกลุ่มหลักที่ซื้อสุทธิมาก่อนหน้านี้ กลุ่มธนาคาร ขายสุทธิ 272 ล้านบาท กลุ่มพลังงาน ขายสุทธิ 202 ล้านบาท และกลุ่มค้าปลีก ขายสุทธิ 176 ล้านบาท ขณะที่ซื้อสุทธิกลุ่ม ICT 199 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ไม่มี
ยุโรป
ประธาน EC ยืนยัน Brexit ไม่ใช่จุดเริ่มของการล้มสลาย EU: นาย Juncker ให้การสนับสนุนอียูในการต่อสู้กับ Brexit และยืนยันว่าอียูจะยังไม่แตกสลายจากกรณีดังกล่าว พร้อมเชื่อว่าอียูจะยังเป็นกลุ่มทางเศรษฐกิจที่สำคัญต่อการค้าโลก นอกจากนี้ อียูได้อนุมัติเงินลงทุนใหม่ด้วยขนาดวงเงิน 6.30 แสนล้านยูโรภายในปี 2565 เพื่อลงทุนในสนามบินไปจนถึงโครงข่ายบรอดแบรนด์
ฝรั่งเศสและเยอรมันจะเป็นแกนนำในการเจรจากับอังกฤษ: European Commission ได้ประกาศชื่อตัวแทนในการเจรจากับอังกฤษกรณี Brexit ได้แก่ เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเจรจาการค้าของเยอรมัน และ อดีตสมาชิกการคลังของอียูมาจากฝรั่งเศส จะเป็นหัวหน้าทีมในการเปิดเจรจากับอังกฤษกรณีออกจากการเป็นสมาชิกในกลุ่มอียู โดยทีมนี้จะเข้ามาร่วมประสานงานกับการทำงานของ EC ในด้านกลยุทธ์, การทำงาน, ด้านกฎหมายและการเงิน ที่จะต้องเจรจากับอังกฤษ
อัตราการว่างงานอังกฤษทรงตัวที่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี: อัตราการว่างงานเฉลี่ย 3 เดือนสิ้นสุดเดือนก.ค. ลดลง 3.9 หมื่นตำแหน่ง เป็น 1.63 ล้านตำแหน่ง ส่งผลให้อัตราการว่างงานทรงตัวที่ 4.7% สอดคล้องกับ Bloomberg consensus และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2548 สำหรับผลตอบแทนที่ไม่รวมโบนัส เพิ่มขึ้นเพียง 2.1% ต่ำกว่า Bloomberg consensus เล็กน้อยที่ 2.2%
จีน
ไม่มี
เอเชียแปซิฟิก
แหล่งข่าวคาด BoJ จะลดอัตราดอกเบี้ยให้ติดลบมากขึ้น: แหล่งข่าวใกล้ชิดให้ความเห็นว่า BoJ อาจจะพิจารณาใช้อัตราดอกเบี้ยที่ติดลบมากยิ่งขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เมื่อนำมาพิจารณาร่วมกับโครงการขยายปริมาณเงิน 80 ล้านล้านเยน/ปี เชื่อว่าจะสามารถเรียกความเชื่อมั่น กระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ
ไทย
กนง.ปรับ GDP ปีนี้ขึ้นเป็น 3.2%: กนง. ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ในปี 2559 จาก 3.1% เป็น 3.2%เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น จากการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวสูงขึ้นใน 2Q59 การบริโภคภาคเอกชนปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.7% จากเดิมที่คาด 1.8% การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัว 1.1%ลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะโต 3.1% ส่วนการอุปโภคภาครัฐปีนี้ยังคงประมาณการที่ 3.5% และการลงทุนภาครัฐปีนี้ปรับลดลงเหลือ 9.7% จากเดิมคาด 10.1% โดย กนง.ยังประมาณการเศรษฐกิจปี 2560 ว่าจะขยายตัว 3.2% ต่อปี เท่ากับการประเมินครั้งก่อน เป็นผลมาจากการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยชดเชยการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่ลดลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจคู่ค้าที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน
Strategist Team
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Krittapol Itthithumsakul Assistant Analyst