- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 12 September 2016 18:37
- Hits: 3278
บล.บัวหลวง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
รอบด้านตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไปต่ำกว่าเส้นแนวโน้มบริเวณ 1480 จุด เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเรากำลังเผชิญกับแนวโน้มขาลงของตลาดหุ้นไทย คำถาม:ดัชนีตลาดจะปรับตัวลงมาอีกมากน้อยแค่ไหนถึงจะดึงดูดให้เม็ดเงินกลับเข้ามา
สัญญาณทางเทคนิคชี้ว่า ดัชนีหลักลดลงอย่างมาก ซึ่งถือว่าเป็นจุดการปรับตัวไปสู่ระดับ Oversold (RSI 24.6) เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับลงไปถึงแนวรับหลักระยะยาว จุดที่น่าสนใจคือหากปรับตัวลงแรงแถวบริเวณ 1430 หรือ 1390 จุด จะส่งผลให้เครื่องมือทางเทคนิคอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ และแนวรับตามตัวเลข Fibonacci 38.2% และ 50% ซึ่งน่าจะทำให้เครื่องมือทางเทคนิคอยู่ในระดับ Oversold
ปัจจัยที่ส่งผลให้แนวโน้มตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง หากเกิดสัญญาณดังต่อไปนี้
1. Indicator บอกถึงภาวะขายมากเกินไปหรือ Oversold ในภาวะที่ตลาดปรับตัวลงเร็ว
2. Blue-chip stock หุ้นขนาดใหญ่เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัว ภายหลังจากการปรับตัวลงแรง
3.เม็ดเงินจากกองทุนในประเทศเริ่มกลับเข้าซื้อ
4.ความผันผวนของตลาดหุ้นลดลง กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ส่งสัญญาณเชิงบวกในวงกว้าง
สรุป: เราคาดว่า จังหวะการเข้าซื้อขายหุ้นด้วยเครื่องมือเทคนิคจะมีบทบาทสำคัญในช่วงที่ตลาดผันผวน มองทิศทางตลาดหากลงมาที่แนวรับ 1390-1430 จุด มองเป็นจุดน่าสนใจในการเข้าซื้อ แนวโน้มตลาดอาจมีแรงซื้อสะสมในหุ้นที่ปรับตัวลงแรงและอยู่ในภาวะ Oversold ขณะที่แนวโน้มหลักยังคงรูปแบบขาลง จึงเหมาะกับกลยุทธ์เก็งกำไรระยะสั้น
รายงานพื้นฐาน BLS วันนี้
(+) เราแนะนำ ซื้อ ILINK ด้วยราคาเป้าหมายที่ 30 บาท ราคาปัจจุบันมี Upside อีก 54% อิงวิธีส่วนรวมมูลค่ากิจการ เทียบเคียง P/E 27 เท่า (ใกล้กับค่าเฉลี่ยในอดีต +1SD) จากราคา IPO ของ ITEL ซึ่ง market cap คิดเป็น 1 ใน 3 ของ ILINK หากแยกออกจะเท่ากับ ILINK เทรด P/E เพียง 17 เท่า ให้ส่วนลดจากค่าเฉลี่ยกลุ่มจัดจำหน่าย 25-35 เท่า และที่กรณีศึกษา sensitivity ชี้ว่าทุกๆ 1 บาท ที่ ITEL ปรับตัวขึ้นเหนือจอง คิดเป็นมูลค่าของ ILINK ที่ปรับเพิ่มราว 0.83 บาท/หุ้น Catalyst สนับสนุนการแรลรี่ของราคาหุ้นจะมาจาก 1) คาดกำไรโตแรง 55% ในปี 2017 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการรับรู้รายได้โครงการ AOT ราว 800 ล้านบาท ในขณะที่โอกาสกำไรโตผิดคาดมีน้อย เพราะมี Backlog แล้ว 2) คาดราคาหุ้น Re-rate PE ตามโครงการที่จะออกประมูลในปีนี้ราว 14,800 ล้านบาท (คาด ILINK มีโอกาสได้งานราว 1 ใน 3 หรือ 5,000 ล้านบาท หนุน backlog สูงเป็นประวัติการณ์) ในอดีตเมื่อบริษัทมี Backlog สูงกว่า 2,000 ล้านบาท หุ้นเทรด P/E 30 เท่า 3) รายได้ Recurring income จาก ITEL คาดเติบโตสูง และขึ้นเป็นส่วนใหญ่ของพอร์ต หนุนกำไรมั่นคงในระยะยาว
(+) กลุ่มท่องเที่ยว เราปรับคำแนะนำเป็น OVERWEIGHT (จาก NEUTRAL) จาก 1) ตอนนี้เรากำลังอยู่ในเดือน ก.ย. ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำที่สุด เราจึงมองว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะเข้าสะสมเพื่อรับฤดูกาลที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาในเดือน ต.ค. และจะดีไปอีก 5-6 เดือนข้างหน้าถึง ม.ค. 2017 เราประเมินยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 8 ล้านคนใน 3Q16 เพิ่มขึ้น 10% YoY และ 6% QoQ และ 8.9 ล้านคนใน 4Q16 เพิ่มขึ้น 15% YoY และ 11% QoQ, 2) การปรับราคาเข้าพักในอดีตบ่งชี้ว่าจะสามารถปรับได้ดีในช่วง ต.ค.-ธ.ค. และ ม.ค.-มี.ค. ทำให้เราเชื่อว่าในรอบนี้จะเห็นการปรับราคาเข้าพักขึ้นได้เช่นเดียวกัน, 3) เราเชื่อว่ากำไรในกลุ่มท่องเที่ยวจะดีขึ้นไปอีก 3 ไตรมาสต่อจากนี้ (3Q16 +46% YoY, +73% QoQ และ 4Q16 ทำจุดสูงสุดใหม่ +27% YoY และ 78% QoQ) ต่อเนื่องไปถึง 1Q17 และ 4) ราคาหุ้นเทรดที่ PE 27 เท่าสำหรับปี 2016 ในขณะที่ในอดีตช่วง High season จะเทรดได้ถึง 30-31 เท่า เรามีการ roll over ราคาเป้าหมายของหุ้นในกลุ่มไป ณ สิ้นปี 2017 ดังนี้ CENTEL 48 บาท, ERW 5.6 บาท (ปรับคำแนะนำขึ้นจาก ซื้อเก็งกำไร เป็น ซื้อ) และ MINT 47 บาท เราเชื่อว่าราคาหุ้น CENTEL และ MINT จะนำกลุ่ม ตามมาด้วย ERW
0) SET หลังจากที่ภาพตลาดมีการปรับฐานลงมา ทำให้ภาพรวมของ SET มีความน่าสนใจมากขึ้นโดย PE ตอนนี้มีส่วนลดจากกลุ่มภูมิภาคอยู่ที่ 12% ซึ่งอยู่ในระดับที่เราเชื่อว่าจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินกลับเข้ามาได้ จากโมเมนตัมภาพเศรษฐกิจที่ยังดูดีในช่วง 2H16 (>+3% YoY), การขึ้นดอกเบี้ยของ เฟดอย่างค่อยเป็นค่อยไปและ ภาพการเมืองภายในที่ค่อนข้างนิ่ง ทำให้เราเชื่อว่า SET มีโอกาสที่จะกลับไปยืนเหนือ 1500 อีกครั้งก่อนปลายปีนี้ เรายังคงเป้าหมาย SET สิ้นปี 2016 ที่ 1523 และปี 2017 ที่ 1670 เราแนะนำให้ความสนใจไปที่กลุ่มที่มีการเติบโตในประเทศ โดยใน 4Q16 เราเลือก กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (ตามโครงการรอประมูลในอนาคต), กลุ่มค้าปลีก (การฟื้นตัวของรายได้ภาคการเกษตร), กลุ่มท่องเที่ยว (การเติบโตอย่างแข็งแกร่งของกำไรในช่วง 4Q16-1Q17), กลุ่มอาหาร (ราคาไก่และกุ้งที่ฟื้นตัวในขณะที่ราคาวัตถุดิบยังอยู่ในระดับต่ำ) และ กลุ่มธนาคาร (การชะลอตัวของ NPL พร้อมกับการตั้งสำรองฯ ที่น้อยลงในช่วง 2H16) และสำหรับกลุ่มที่เราเลือกในปี 2017 คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่นกัน จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆที่จะเข้ามา, กลุ่มธนาคาร จาก NPL ที่เริ่มชะลอตัวใน 2H16 และการลงทุนภาคเอกชนที่เติบโตต่อเนื่อง, กลุ่มพลังงาน และ สุดท้าย อัตราผลตอบแทนหุ้นกู้ที่ปรับตัวดีขึ้นจะส่งผลบวกต่อกลุ่มประกันฯ
ธนรัตน์ อิศรกุล Tel. (662) 618-1334
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์/ปัจจัยทางเทคนิค