- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 31 August 2016 16:44
- Hits: 906
บล.ซีไอเอ็มบี : Thailand Trading Picks(PM)
SET Index: ถ้าหลุด 1540 ลงไป อาจเสี่ยงลงทดสอบ 1530 และ 1520
SET Index: 1541.44 ปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับสำคัญในระยะสั้นที่ 1540 จุด แต่ยังสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ในระยะสั้น เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง จึงทำให้การปรับตัวลดลงอยู่ในกรอบจำกัด แต่ถ้าไม่มีแรงซื้อกลับเข้ามาที่บริเวณแนวรับ 1540 จุดต่อเนื่อง จะทำให้แนวโน้มในระยะสั้นมีความเสี่ยงในการปรับฐานลงไปทดสอบแนวรับที่ 1530 และ 1520 จุด เพื่อปิดช่องว่างที่เปิดเอาไว้ ในขณะที่แนวโน้มยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1575-1580 จุด
แนวต้าน : 1545 และ 1550
แนวรับ : 1540** และ 1536
TM = 4.80 / 5.10, CPALL = 62.00 / 63.00, PTT = 347 / 350, ADVANC = 165 / 167, AOT = 397 / 402
The Siam Cement (SCC TB; THB 524.00) – ซื้อ
แนวต้าน : 534 และ 540 / เป้าหมาย 550
แนวรับ : 524 และ 520
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากปรับตัวลดลงจากแรงขายทำกำไรในระยะสั้น แต่ปริมาณการซื้อขายไม่สูงมาก ทำให้แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
MACD ปรับตัวลดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นเคลื่อนไหวเหนือแนวโน้มลงต่อเนื่อง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นทดสอบระดับ 60
แนะนำซื้อ SCC โดยมีแนวรับที่ 524 และ 520 เพื่อคาดหวังการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 534 และ 2540 เป็นจุดขายทำกำไร
ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 514 ลงไป จะมีแนวรับถัดไปที่ 500 เป็นจังหวะซื้อเพิ่ม
Bangkok Sheet Metal (BM TB; THB 4.24) – ซื้อ
แนวต้าน : 4.40 และ 4.50
แนวรับ : 4.24 และ 4.20
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคเหนือแนวรับของกรอบแนวโน้มขาขึ้น ทำให้แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นเคลื่อนไหวเหนือแนวโน้มลง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเข้าใกล้ระดับ 60
แนะนำซื้อ BM โดยมีแนวรับที่ 4.24 และ 4.20 เพื่อคาดหวังการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 4.40 และ 4.50 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 4.08 ลงไป
SET50 Index Futures
S50U16 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาทดสอบแนวรับสำคัญที่ 977 ซึ่งเป็นแนวรับของกรอบแนวโน้มขาขึ้นในระยะสั้นหลังจากพยายามฟื้นตัวกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 990 ซึ่งเราแนะนำให้ Open Long ที่บริเวณแนวรับ 980 เอาไว้ แต่ถ้าปรับตัวลดลงมาปิดต่ำกว่าระดับ 974 ลงไป จะเป็นจุด STOP LOSS สถานะ Long
แนวต้าน : 980 และ 982
แนวรับ : 977 และ 975
คำแนะนำ: เราแนะนำให้ Open Long ใน S50U16 เอาไว้ที่แนวรับ 980 เพื่อคาดหวังการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 990 และ 1000
STOP LOSS สถานะ Long ถ้า S50U16 ปรับตัวลดลงมาปิดต่ำกว่า 974 ลงไป
BLANDU16
ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังจาเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคกลับขึ้นไปเคลื่อนไหวเหนือระดับ 1.80 ซึ่งเราคาดว่า แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1.88-1.90 แต่เป็นจังหวะขายทำกำไรสถานะ Long และมีแนวรับสำคัญที่ 1.80 ถ้าหลุดจะเป็นจุด STOP LOSS สถานะ Long
แนวต้าน : 1.84 และ 1.88
แนวรับ : 1.82 และ 1.80
คำแนะนำ: เราแนะนำให้รอขายทำกำไรสถานะ Long ใน BLANDU16 ที่บริเวณแนวต้าน 1.88-1.90 และมีแนวรับที่ 1.82 และ 1.80 เป็นจังหวะในการ Open Long
STOP LOSS สถานะ Long ถ้า BLANDU16 ปรับตัวลดลงหลุดระดับ 1.80 ลงไป
SIRIU16
ปรับตัวลดลงจากแรงขายทำกำไรหลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคเหนือแนวรับของกรอบแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว ทำให้แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านที่ 1.95 และมีเป้าหมายในการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปที่ 2.00 โดยมีแนวรับสำคัญที่ 1.76
แนวต้าน : 1.90 และ 1.95
แนวรับ : 1.82 และ 1.80
คำแนะนำ: เราแนะนำให้ Open Long ใน SIRIU16 ที่แนวรับ 1.84 และ 1.82 เพื่อคาดหวังการปรับเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1.90 และ 1.95
STOP LOSS สถานะ Long ถ้า SIRIU16 ปรับตัวลดลงหลุดระดับ 1.80 ลงไป
Analysts :
Teerasak Tanavarakul +662 657-9231 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Investment Strategy(AM)
SET...1550 จุด ยังเป็นแนวต้านสำคัญที่ยังฝ่าไปไม่ได้
หลังนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ กล่าวในการประชุมประจำปีของเฟดในวันที่ 26 ส.ค. โดยระบุว่า "เฟดยังคงคาดการณ์ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่การจ้างงาน และเงินเฟ้อใกล้แตะระดับเป้าหมายของเฟด" นางเยลเลนยังกล่าวว่า "ท่ามกลางการปรับตัวที่แข็งแกร่งของตลาดแรงงาน และมุมมองของเราที่มีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และภาวะเงินเฟ้อ ดิฉันเชื่อว่าปัจจัยต่างๆที่สนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ได้เพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา" ในขณะที่นายสแตนลีย์ ฟิสเชอร์ รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า ถ้อยแถลงของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดได้บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และยังสะท้อนให้เห็นว่า มีโอกาสค่อนข้างมากที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนก.ย.
จากผลดังกล่าว ทำให้บริษัทโกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. โดยคาดว่ามีโอกาส 40% จากเดิมที่ 30% และปรับเพิ่มคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้ โดยคาดว่ามีโอกาส 80% จากเดิมที่ 75% ส่งผลให้ตลาดเริ่มกลับมาจับตาดูตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐอย่างการจ้างงานที่จะมีการประกาศออกมาในวันที่ 2 ก.ย. ซึ่งหากออกมาดีก็มีโอกาสสูงที่เฟดอาจจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในเดือนก.ย. นี้ซึ่งน่าจะเป็นลบกับสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกได้ เนื่องจากหากอัตราดอกเบี้ยถูกปรับขึ้นค่าเงินดอลลาร์ก็จะกลับมาแข็งค่า ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลกลับจากตลาดเกิดใหม่กลับไปยังสหรัฐ
หากเราพิจารณาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (bond yield) ของประเทศไทยในช่วงนี้จะเห็นได้ว่า bond yield ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาจากสัปดาห์ก่อน สะท้อนให้เห็นถึงคาดการณ์ของตลาดว่ามีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนก.ย. นี้ (โดยปกติอัตราดอกเบี้ยจะมีทิศทางแปรผันในทางเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร แต่แปรผกผันกับราคาตราสารหนี้) สอดคล้องกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่กลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยพิจารณาจากค่าดัชนีดอลลาร์ (dollar index) ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องจากระดับ 94.717 ก่อนการแถลงของประธานเฟดมาอยู่ที่ 96.053 เมื่อวานนี้ (ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่าจากระดับ 34.54 บาท/ดอลลาร์ในต้นสัปดาห์ มาอยู่ที่ 34.587 บาท/ดอลลาร์) ดังนั้นเราคาดว่าจะเริ่มเห็นแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศชะลอตัวลงหรืออาจกลับมาทยอยขายทำกำไรหลังซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยมากว่า 113,605 ล้านบาท นับจากต้นปี (YTD) ดังนั้นต้องระมัดระวังการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิเข้ามามากก่อนหน้านี้
ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเราเห็นแรงซื้อที่พยายามดันดัชนีให้ยืนเหนือระดับ 1550 จุด มาทั้งหมด 11 ครั้ง แต่มีเพียง 1 วันคือวันที่ 11 ส.ค. ที่ ดัชนีสามารถยืนปิดที่ 1552.64 จุดได้ หลังจากนั้นเราจะเห็นว่าทุกครั้งที่ตลาดวิ่งขึ้นไปเหนือระดับ 1550 จุด เราจะเห็นแรงขายทำกำไรของนักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนรายย่อย ขายลงมาจนทำให้ดัชนีไม่สามารถยืนเหนือระดับ 1550 จุดได้ เราประเมินว่าหากแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศไม่มากพอที่จะฝ่าแรงขายของนักลงทุนในประเทศไปได้ ตลาดจะไม่สามารถผ่านระดับ 1550 จุดได้และจะปรับตัวลดลงในเดือนกันยายนในที่สุด
หากพิจารณาปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น 1) ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่าลง 2) bond yield เริ่มปรับตัวสูงขึ้น 3) เฟดมีโอกาสมากขึ้นที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในการประชุมเดือนก.ย. 4) ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแย่อย่างตัวเลขการส่งออกเดือนก.ค. ที่ออกมา -4.4% แย่กว่าที่ตลาดคาดที่ -2.25% 5) ตลาดหลังปรับขึ้นมากว่า 20% YTD ก็เหลือ upside จำกัดแค่ 3.5% จากเป้าหมายปลายปีของเราที่ 1600 จุด 6) ในทางเทคนิคหลังตลาดพยายามยืนเหนือระดับ 1550 จุดแต่ไม่ผ่านมาหลายรอบทำให้ดัชนีมีโอกาสปรับฐานลง และ 7) แรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศที่ชะลอตัวลงมาก โดยศุกร์ที่แล้วขายสุทธิออกมา 752 ล้านบาท ก่อนที่จะซื้อกลับ 1,798 ล้านบาทในวันจันทร์และลดลงเหลือซื้อสุทธิเพียง 740 ล้านบาทเมื่อวานนี้ เทียบกับเดือนก.ค. ที่ซื้อสุทธิเฉลี่ยวันละ 2,464 ล้านบาทและเดือนส.ค. ที่ซื้อเฉลี่ยวันละ 1,558 ล้านบาท ดังนั้นเราประเมินว่าตลาดจะมีการปรับฐานลงกลับไปที่ระดับ 1500-1520 จุด ในเดือนก.ย.
กลยุทธ์การลงทุนหากนักลงทุนต่างประเทศเริ่มทยอยขายทำกำไรระยะสั้นในตลาดหุ้นไทย เราแนะนำให้ขายทำกำไรหุ้นขนาดใหญ่ที่มีนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิเข้ามามากก่อนหน้านี้อย่างกลุ่มธนาคาร (KBANK SCB BBL KTB) กลุ่มพลังงาน (PTT PTTEP TOP IVL GPSC EGCO) กลุ่มค้าปลีก (BJC HMPRO ROBINS CPALL GLOBAL) และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (CK STEC) และมาพักเงินในหุ้นกลุ่มที่ยังปรับตัวช้ากว่าตลาด (laggard) และเป็นหุ้นที่มีความปลอดภัยของธุรกิจและกระแสเงินสดสูง (defensive play) อย่างกลุ่ม ICT (ADVANC INTUCH) และกลุ่มโรงพยาบาล (BDMS) โดยเราให้ราคาเป้าหมาย ADVANC ที่ 205 บาท, INTUCH 64 บาทและ BDMS 25.50 บาท ในขณะเราแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนในหุ้นกลุ่มกองทุนอสังหาฯ และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่ปรับตัวขึ้นมามากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและ bond yield ที่ปรับลดลง แต่ปัจจุบัน bond yield เริ่มปรับตัวขึ้น (อัตราดอกเบี้ยกำลังจะกลับเป็นขาขึ้น) ทำให้มีความเสี่ยงด้านราคาเพิ่มขึ้นสำหรับการลงทุนในกองทุนดังกล่าว วันนี้เราคาดว่าตลาดจะยัง sideway พยายามขึ้นทดสอบระดับ 1550 จุด แต่ไม่น่าจะยืนได้และถูกแรงเทขายทำกำไรจนตลาดอาจกลับมาปิดลดลงได้ โดยวันนี้เราให้แนวรับที่ 1535-1540 จุดและแนวต้านที่ 1553-1558 จุด โดยหุ้นแนะนำในวันนี้คือ ADVANC BANPU และ PTTGC
Analysts :
Kiatkong Decho +662 657-9236 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(PM)
Morning Market Summary…
SET ช่วงเช้าปิดที่ 1,541.44 จุด ลดลง 4.69 จุด (-0.30%) มูลค่าการซื้อขาย 21,482.81 ล้านบาท หุ้นไทยเช้านี้ปรับลง โดยมีแรงฉุดจากหุ้น PTT (XD วันนี้ @ 6 บาท) SET พยายามยืนเหนือระดับ 1540 จุด ขณะที่ตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่มาหนุน และยังรอดูยังรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (ศุกร์นี้)
Afternoon Perspective…
แนวโน้มตลาดบ่าย แกว่งลงต่อ SET เข้าสู่ช่วงขาดปัจจัยหนุน โดยราคาหุ้นได้ตอบสนองผลการดำเนินงาน 2Q16 ที่ออกมาดีกว่าคาดไปแล้ว ในขณะที่ 3Q16 ยังไม่มีสัญญาณการปรับเพิ่มประมาณการอย่างมีนัย ประกอบกับตลาดเริ่มกลับมากังวลต่อแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดรอบใหม่ โดยเราคาดว่าการประชุมเฟดเดือน ก.ย. เฟดน่าจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในปลายปีนี้หรือไม่ ซึ่งลักษณะนี้ จะทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนออกไป และคาดว่า SET อาจจะมีการปรับฐานลงอีกครั้ง ทางเทคนิคมีโอกาสที่ SET จะลงไปที่ระดับ 1500-1520 จุดได้หลังจากนี้ สำหรับกลุ่มที่ยังพอจะเก็งกำไรได้ยังอยู่ในกลุ่มเกษตร อาหาร ท่องเที่ยว โรงแรม สนามบิน และสายการบิน จากการปัจจัยราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นและการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยหุ้นแนะนำสัปดาห์นี้ (Weekly Idea) เราเลือก BA TWPC EPG
Technical Pick (PM) & Cash Balance...
The Siam Cement (SCC TB; THB 524.00) - ซื้อ
Bangkok Sheet Metal (BM TB; THB 4.24) - ซื้อ
Cash Balance Preview : คาดหลักทรัพย์ที่มีโอกาสจะติด Cash Balance สัปดาห์หน้า : ALT, GENCO, PPM-W1, WICE* (* ดูรายละเอียดของเงื่อนไขในบทวิเคราะห์ และกรณีหุ้นแม่ติด ฯ Warrant ทุกตัวของหุ้นนั้นจะติดตามด้วย)
Analysts :
Teerawut Kanniphakul +66(2) 657 9233 - [email protected]/ [email protected]