- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 26 August 2016 15:52
- Hits: 1349
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ผันผวนมากขึ้นเมื่อใกล้ 1,555-1,560 จุด และต่างชาติชะลอการซื้อในภูมิภาค รอผลการประชุม Jackson hole คืนนี้ กลยุทธ์ให้เลือกหุ้นที่ผลกำไร เด่นงวด 3Q59 ยังชอบ GFPT(FV@B17) และ TFG([email protected]) วันนี้เลือก Top pick BA([email protected]) และ AOT(FV@B490) เข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวเกาะสมุย และยังได้ประโยชน์จากน้ำมันที่ยังต่ำในปัจจุบัน
ผลประชุม Jackson Hole น่าจะมุ่งไปที่ Brexit และ การขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐ
วันนี้ 26 ส.ค. จะมีการประชุมที่ Jackson Hole รัฐไวโอมิงของสหรัฐ ซึ่งมีนำการธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลก และ รัฐมนตรีคลัง มาร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน ซึ่งหัวข้อในการประชุมครั้งนี้ คือ “The Federal Reserve Monetary policy toolkit” หรือ “เครื่องมือการใช้นโยบายการเงินของ Fed” เชื่อว่าประเด็นในการประชุมในครั้งนี้ น่าจะมุ่งเป้าถึงการใช้นโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ และผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ดังเช่น Brexit
หากพิจารณาหัวข้อการประชุม Jackson hole ในปี 2558 ซึ่งหัวข้อหลักคือ “Inflation Dynamic and monetary policy” หรือ “การขับเคลื่อนเงินเฟ้อและนโยบายการเงิน” ในครั้งนั้น จึงมุ่งเป้าไปที่การเพิ่มเงินเฟ้อให้เข้าใกล้เป้าหมายที่ 2% เพราะทั่วโลกเผชิญเงินเฟ้อต่ำ/แดนลบ จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตกต่ำ โดยหลังการประชุม Fed ก็ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในรอบ ก.ย. ปี 2558 แต่มาปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ ธ.ค. 2558 และก็ไม่เคยขึ้นดอกเบี้ยอีกเลยนับจากครั้งนั้น
ดังนั้น ผลการประชุมในวันนี้ตลาดจึงน่าจะให้น้ำหนักต่อถ้อยแถลงของประธาน Fed นางเจเน็ต เยลเลน โดยเฉพาะพุ่งเป้าไปที่ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยที่เหลืออีก 3 ครั้ง แม้ล่าสุดผลสำรวจ Fed fund future โดย Bloomberg มีแนวปรับขึ้นเพิ่มดอกเบี้ยมากขึ้น กล่าวคือ การประชุมรอบ ก.ย. ได้เพิ่มโอกาสการเพิ่มดอกเบี้ยเป็น 32% จาก 28% ในการสำรวจครั้งก่อนหน้า ในการประชุมรอบ พ.ย. ขยับขึ้นมาเป็น 38% จาก 32% และรอบ ธ.ค. ขยับขึ้นมาที่ 58% จาก 54% แต่ ASPS ยังเชื่อว่า ความเสี่ยงจาก Brexit และเงินเฟ้อที่ต่ำทั่วโลก น่าจะกดดันให้ Fed ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยไปถึงสิ้นปีนี้
แรงซื้อต่างชาติแผ่วลง รอถ้อยแถลงประธาน Fed คืนนี้
ในสัปดาห์นี้แรงซื้อหุ้นในภูมิภาคของต่างชาติชะลอตัวลง และมีการสลับซื้อสลับขายในแต่ละวัน โดยคาดว่าน่าจะให้น้ำหนักกับแถลงการณ์ของนางเจเน็ต เยลเลน ว่า Fed มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้นหรือไม่? และหากกลับมาดูการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในวานนี้ พบว่า มีการสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเล็กน้อยราว 22 ล้านเหรียญ แต่มีอยู่ 2 ประเทศที่ยังคงถูกขายสุทธิ คือ เกาหลีใต้ถูกขายสุทธิ 292 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) และฟิลิปปินส์ 23 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) ส่วนที่เหลืออีก 3 ประเทศต่างชาติซื้อสุทธิ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 255 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว), อินโดนีเซีย 52 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) และไทยซื้อสุทธิ 29 ล้านเหรียญ หรือ 1.0 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 โดยมีมูลค่ารวม 7.3 พันล้านบาท) ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯขายสุทธิเล็กน้อยราว 110 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 9.2 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 297 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3)
หุ้นเด่นไตรมาส 3 : KCAR, ASK, ERW, BA
แม้กระแส Fund Flow จากต่างชาติจะยังคงมีทิศทางไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอยู่ ซึ่งหากนับจาก 15 ก.พ. ถึงวานนี้ ซื้อสุทธิสะสมกว่า 1.26 แสนล้านบาท แต่ยังต้องระวังแรงขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศ (ซื้อสะสมสูงถึง 2.48 แสนล้านบาท นับตั้งแต่ ต.ค. 2555 และเพิ่งเริ่มมาขายช่วงเดือน มิ.ย. ปีนี้) นอกจากนี้ จากระดับดัชนีปัจจุบัน ประเมินเป็น Expected P/E แล้ว อยู่ที่บริเวณ 17.1 เท่า นับว่าไม่ถูกหากเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน (ฟิลิปปินส์ 20.1 เท่า, อินโดนีเซีย 17.3 เท่า, อินเดีย 17.1 เท่า ขณะที่มาเลเซีย 16.5 เท่า และจีน 14.3 เท่า) จึงทำให้ดัชนีบริเวณ 1,550 – 1,560 จุด ยังคงเป็นแนวต้านที่แข็งแกร่ง การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยยังค่อนข้างเป็นไปได้จำกัด
เพื่อกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้นภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน จึงได้ศึกษาข้อมูลเชิงปริมาณ โดยการรวบรวมสถิติและวิเคราะห์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของหุ้นรายกลุ่ม ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนแทนชนะตลาดในไตรมาส โดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 10 ปีย้อนหลัง พบว่ากลุ่มฯ ที่มักจะ Outperform มากกว่า SET เรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ กลุ่มอสังหาฯ ขนส่ง, ค้าปลีก, โรงพยาบาล, สื่อ-สิ่งพิมพ์, ท่องเที่ยว, อาหาร, ประกันฯ, ธนาคารพาณิชย์, สื่อสาร และกลุ่มธุรกิจการเงิน (เช่าซื้อ + หลักทรัพย์)
แต่อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเพิ่มเติมหุ้นรายตัวที่มีโอกาสสูงที่จะชนะตลาดในช่วงไตรมาส 3 ด้วยผลตอบแทนที่ค่อนข้างน่าพอใจ รวมทั้งมี Upside สูงกว่า 15% และฝ่ายวิจัยแนะนำ ซื้อ
หุ้นที่มีโอกาสชนะตลาดในช่วงไตรมาส 3 สูง และยังมี Upside สูง
เมื่อนำข้อมูลในเชิงสถิติ มาพิจารณาร่วมกับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ฝ่ายวิจัยจึงแนะนำหุ้นเด่นตามการวิเคราะห์เชิงปริมาณของงวด 3Q59 ดังนี้
กลุ่มพัฒนาอสังหาฯ : แนะนำ PS ([email protected]) จากการปรับกลยุทธ์รับมือช่วง low season ด้วยการจัดแคมเปญกระตุ้นยอดขายและโอนฯ ต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีจุดเด่นที่เป็นหุ้นปันผลสูง Dividend Yield กว่า 6.5% และราคายัง Laggard ตลาดค่อนข้างมาก
ผู้ให้บริการสนามบิน-สายการบิน : AOT (FV@B490) แม้ปกติกำไรงวด 4Q59 (ก.ค. – ก.ย.) ของ AOT มักจะเป็นจุดต่ำสุดของปี แต่เชื่อว่าในปีนี้น่าจะเติบโตต่อเนื่องจากงวด 3Q59 จากปริมาณผู้ใช้บริการที่คาดเติบโตเด่นมาก yoy จากฐานที่ต่ำในปีก่อน
นอกจากนี้ ยังมีรายได้ส่วนเพิ่มจากค่าเช่าพื้นที่ดอนเมือง อาคาร 2 ที่จะมีรายได้เข้ามามากขึ้น หลังเพิ่งเริ่มรับรู้ในงวด 3Q59
นอกจากนี้ ยังชอบ BA ([email protected]) จากการได้ประโยชน์ของการเข้าสู่ช่วง High Season เกาะสมุย สะท้อนจาก Cabin Factor เดือน ก.ค. สูงเกิน 70% และคาดว่าช่วง 2H59 จะสูงกว่า 1H59 ที่ 69.6% หนุนยอดทั้งปีจะสูงกว่าสมมติฐานฝ่ายวิจัยที่ 68.3%
กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม : ERW ([email protected]) คาดภาพรวม 3Q59 จะมีกำไรสูงกว่า 2Q59 จากอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นจาก 2Q59 อีก 8% สู่ 79% และน่าจะมีกำไรเพิ่มต่อเนื่องจนถึง 4Q59 และลากยาวไปจนถึง 1Q60 ซึ่งเป็นช่วง Peak Season ท่องเที่ยว
กลุ่มเกษตร-อาหาร : แนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานงวด 3Q59 ของกลุ่มเกษตร-อาหาร จะเติบโตจากงวด 2Q59 จากการเข้าฤดูกาลส่งออกอาหารสู่ต่างประเทศ และแนวโน้มราคาไก่ที่สูงขึ้น ส่วนราคาสุกรยังทรงตัวสูงต่อเนื่องจากงวด 2Q59 โดย CPF (ซื้อ FV@B40) ยังได้ประโยชน์ทั้งจากธุรกิจไก่และหมูดังกล่าว รวมทั้งธุรกิจกุ้งจากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลเลี้ยงกุ้ง หนุนกำไรเติบโตต่อเนื่องจากงวด 2Q59
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังชอบ TFG ([email protected]) และGFPT (FV@B17) ที่ราคาไก่และหมูอยู่ในระดับสูง อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนน้อยกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : ยังชอบ TCAP(FV@B51) จากการฟื้นตัวของธุรกิจหลัก สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ คุณภาพสินทรัพย์ที่ดีต่อเนื่อง ช่วยลดภาระสำรองให้ลดลง รวมทั้ง BBL (FV@B200) ยังคงอยู่ในฐานะตัวเลือกที่ปลอดภัย
สื่อสาร : INTUCH (FV@B73) ในฐานะที่เป็นบริษัทแม่ ADVANC (ถือหุ้น 40.45%) และ THCOM (ถือหุ้น 41.14%) ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของธุรกิจหลัก แต่ยังมีจุดเด่นที่ Div. Yield สูงเกินปีละ 5%
กลุ่มเช่าซื้อ : ชอบ ASK ([email protected]) จากแรงหนุนของโครงการก่อสร้างจากภาครัฐที่เดินหน้าต่อเนื่องทำให้ความต้องการใช้รถบรรทุกเพื่อการก่อสร้างและขนส่งเพิ่มขึ้นจนไม่ทันต่อความต้องการ ส่งผลดีต่อสินเชื่อรถบรรทุกเติบโตโดดเด่น รวมถึงผู้ให้เช่ารถยนต์ คือ KCAR ([email protected]) ได้ order รถ fleet ใหญ่ของ TOT และผลบวกจากภาษีฯ ที่ประหยัดได้ หนุนผลประกอบการเติบโตโดดเด่น รวมทั้ง S11 ([email protected]), AUCT ([email protected])
กลุ่มชิ้นส่วนฯ : หุ้นที่มีคาดว่ากำไรสุทธิเติบโตโดดเด่นจากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลส่งออก คือ SVI (FV@B6) จากการแก้ปัญหาอุปกรณ์ตรวจสอบสินค้าเสร็จแล้ว ส่วน KCE (FV@B100) คาดกำไรทำ new high อีกไตรมาส แต่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมาสูงแล้วจึงแนะนำซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
กฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์