- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 22 August 2016 17:38
- Hits: 4486
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ซื้อใหม่เน้นค่าบวกเท่านั้น"
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวันศุกร์อ่อนตัวลงจากแรงขายทำกำไรในหุ้น Big Cap อีกรอบ ปิดตลาดดัชนี -8.25 จุดที่ 1538.76 ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน (SMA10) เล็กน้อย โดยนักลงทุนรอฟังถ้อยแถลงประธานเฟดในงานประชุมประจำปีที่เมืองแจ็คสัน โฮล รัฐไวโอมิ่งในวันที่ 26 ส.ค.นี้ เพื่อหาสัญญาณเรื่องระยะเวลาในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ ทั้งนี้เฟดจะมีการประชุมอีก 3 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ คือ 20-21 ก.ย., 1-2 พ.ย. และ 13-14 ธ.ค. ในวันศุกร์นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิแต่ไม่มากที่ 487 ล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิ 1.4 พันล้านบาท ส่วนสถาบันในประเทศและพอร์ตบล.ขายสุทธิ
จากนี้ไปความกังวลเรื่องเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยจะกดดันตลาดเป็นระยะ ส่วนเราประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ โดยอาจเป็นหลังจากมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 8 พ.ย.59 แล้ว (เฟดจะประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ในวันที่ 13-14 ธ.ค.59) สำหรับปัจจัยภายนอกที่จับตาในระยะใกล้ คือ การประชุมประจำปีเฟด 26 ส.ค.นี้ และปัจจัยในประเทศเป็นเรื่องความคืบหน้าในโครงการลงทุนภาครัฐ, แนวโน้มผลประกอบการรายบริษัทหลังจบไตรมาส 2, การขึ้นเครื่องหมาย XD สำหรับปันผลระหว่างปี เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหลายบางอย่างก็ได้สะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นแล้ว จึงต้องระวังเรื่องของ Sell on fact ให้มากขึ้นด้วย กลยุทธ์การลงทุน : ยังเป็นการเลือกซื้อ/ถือหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและยังเหลือ Upside พอควร, มีหุ้นอยู่ก็ควรพิจารณาแบ่งขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นสูงกว่าเป้าหมายที่ประเมินอย่าง Aggressive ไปแล้ว สำหรับหุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น ANAN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ จึงควรระวังการแกว่งหรืออ่อนตัว โดยตลาดมีโครงสร้างขาลงระยะกลางยังกดดันอยู่ การซื้อใหม่จึงเน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี อาจลงไปทดสอบแนวเด้งที่ 1520, 1500+/- จุด ส่วนแนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 1545-1550, 1560 จุด
หุ้น SCAN ที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่ประกอบด้วย S, M, CSS ส่วนที่ยังอยู่ใน List คือ PACE, KAMART, AAV, MCS, CKP, IVL หุ้นที่หลุด List คือ SPA และหุ้นที่หาจังหวะขายทำกำไรเป็น ASEFA
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
/- สหรัฐ : กรีนสแปนคาดเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วๆนี้...นักวิเคราะห์บางคนมองว่าน่าจะเป็นหลังเลือกตั้ง
นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดการณ์ว่าเฟดน่าจะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ เพราะถ้าเฟดคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับเดิมนานเกินไป เศรษฐกิจสหรัฐอาจได้รับความเสียหายจากเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งมุมมองของนายกรีนสแปนนั้นสอดคล้องกับของนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก ซึ่งมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจได้รับความเสียหายหากเฟดคงอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานานเกินไป และมองว่าเมื่อพิจารณาในแง่ของเศรษฐกิจแล้วมีความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการการประชุมนโยบายครั้งต่อไปวันที่ 20-21 ก.ย. นี้
ด้านนายสแตนลีย์ ฟิสเชอร์ รองประธานเฟด ได้แสดงความคิดเห็นในการประชุมเศรษฐกิจซึ่งจัดขึ้นที่รัฐโคโลราโดว่าเฟดใกล้จะบรรลุเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ 2% อย่างยั่งยืน (ดัชนีการใช้จ่ายด้านการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อของเฟดขึ้นมาที่ 1.6% ใกล้เคียงเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%) ตลาดแรงงานของสหรัฐฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แม้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในต่างประเทศยังย่ำแย่ก็ตาม ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดน่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ทั้งนี้มุมมองของนายฟิสเชอร์มักเป็นไปในทิศทางเดียวกับนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด
สำหรับ นักวิเคราะห์อีกกลุ่มประเมินว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่มีความไม่แน่นอนของทิศทางการเมืองจากการที่สหรัฐจะมีเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 8 พ.ย.นี้ โดยน่าจะรอจนกว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาก่อนแล้วค่อยปรับขึ้นดอกเบี้ย ทั้งนี้เศรษฐกิจบางภาคส่วนของสหรัฐชะลอตัวไปใน 3Q59 เพราะภาคธุรกิจรอดูทิศทางการเมืองสหรัฐก่อนตัดสินใจลงทุนเพิ่ม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมีความเกี่ยวข้องกับภาษี, กฎเกณฑ์ข้อบังคับ และนโยบายต่างๆ ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเห็นว่านโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและตลาดเงินสหรัฐ เนื่องจากเขาได้ขู่ว่าจะผลักดันให้สหรัฐถอนตัวจากการเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) กำหนดกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ และเปิดการเจรจาอีกครั้งในเรื่องหนี้สินสหรัฐ ขณะที่นางฮิลลารี คลินตัน มีแนวโน้มว่าจะสานต่อนโยบายปัจจุบันของรัฐบาลชุดเดิม
ทั้งนี้ เฟดมีกำหนดการประชุมนโยบาย 3 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ คือ 20-21 ก.ย., 1-2 พ.ย. และ 13-14 ธ.ค. และจากการสำรวจของวอลล์สตรีทเจอร์นัล นักเศรษฐศาสตร์ 71% จากทั้งหมด 62 รายเชื่อว่าเฟดจะรอจนถึงเดือนธ.ค.เพื่อปรับขึ้นดอกเบี้ย (ปัจจุบันอยู่ที่ 0.25-0.50%)
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : อ่อนลงเพราะกังวลเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลดลง 45.13 จุด หรือ -0.24% ปิดที่ 18,552.57 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 3.15 จุด หรือ -0.14% ปิดที่ 2,183.87 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 1.77 จุด หรือ -0.03% ปิดที่ 5,238.38 จุด ปัจจัยกดดัน คือ ความกังวลเรื่องเฟดขึ้นดอกเบี้ย หลังตัวเลขภาคแรงงานออกมาแข็งแกร่งต่อเนื่อง แต่ตลาดไม่ได้ร่วงแรงเพราะมีบางกระแสมองว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยน่าจะเป็นช่วงเดือนธ.ค.59 หลังที่สหรัฐเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จเรียบร้อยแล้วในวันที่ 8 พ.ย.59 ส่วนปัจจัยจับตาในระยะใกล้นี้ คือ การประชุมประจำปีของเฟด ที่เมืองแจ็คสันโฮล รัฐไวโอมิ่ง ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ ซึ่งนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด จะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์และอาจมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
ราคาน้ำมันดิบ : ปิดทรงตัวในวันศุกร์
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 30 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 48.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 1 เซนต์ ปิดที่ 50.88 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยตลาดชะลอการลงทุนหลังราคาน้ำมันปรับขึ้นติดต่อมา 6 วันทำการ ประกอบกับเบเกอร์ ฮิวส์ รายงานว่าจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่เปิดดำเนินงานในสหรัฐเพิ่มขึ้น 10 แห่ง เป็น 406 แห่งในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการปรับขึ้นมา 8 สัปดาห์ต่อเนื่อง
- ราคาทองคำ : ร่วงลงต่อ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 11 ดอลลาร์ หรือ 0.81% ปิดที่ 1,346.2 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังดัชนีค่าเงินดอลลาร์ขยับแข็งค่าขึ้น (จาก 94.153 เมื่อ 19 ส.ค. เป็น 94.734 ในเช้าวันนี้)
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
กลุ่มที่พักอาศัย : เปิดตัวโครงการใหม่ 7M59 ลดลง 19%YoY
ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 48,160 ยูนิต ลดลง 19%YoY โดยคอนโดเปิดใหม่ 72 โครงการจำนวน 28,160 ยูนิต (-23%YoY) บ้านแนวราบเปิด 120 โครงการจำนวน 20,000 ยูนิต (-12%YoY) ทั้งนี้มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลได้ดึงอุปสงค์ล่วงหน้าไปแล้วบางส่วน ทำให้หลังหมดมาตรการก็ชะลอตัวลงทั้งในส่วน Presales และยอดโอนกรรมสิทธิ์ สำหรับทั้งปี 59 ทางศูนย์ข้อมูลฯคาดว่าโครงการเปิดใหม่จะอยู่ที่ประมาณ 1แสนยูนิต (ปี 58 เปิดใหม่ 104,860 ยูนิต) โดยผู้ประกอบการรายใหญ่อาจเลื่อนระยะเวลาการเปิดขายออกไปเป็นต้นปี 60 เพราะประมินว่ากำลังซื้อยังไม่แข็งแกร่งมากนัก
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เรามองว่ากลุ่มที่พักอาศัยจะยังซบเซาในช่วงที่เหลือของปีนี้ และอาจต่อเนื่องถึงปี 60 โดยยอดขายจะเป็นไปอย่างค่อนข้างช้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อการโอนกรรมสิทธิ์ในปี 60-61 ด้วย หลายบริษัทจะมียอดรับรู้รายได้และกำไรอ่อนลงในปี 60 เช่น LPN, RML, SIRI แต่หลายบริษัทที่มี Backlog มากและมียอดขายแนวราบที่ดีก็ยังมีการโอนรับรู้รายได้และกำไรที่แข็งแกร่งและเติบโตเป็นเลขสองหลักได้ในปี 60 ได้แก่ ANAN, AP, LH, SPALI ส่วนที่รายได้และกำไรเติบโตเป็นเลขหลักเดียวหรือทรงๆตัว คือ PS, QH, SC เป็นต้น สำหรับหุ้น Top Picks ในกลุ่มที่พักอาศัยของเราเป็น AP (ราคาพื้นฐาน 9 บาท), LH (ราคาพื้นฐาน 12.90 บาท) และ ANAN (ราคาพื้นฐาน 5.60 บาท)
+ ANAN (ราคาปิด 4.86 บาท, ราคาพื้นฐาน 5.60 บาท) : กำไรเติบโตแข็งแกร่งมาก
กำไรสุทธิ 2Q59 อยู่ที่ 210 ล้านบาท +192% y-o-y และ +41% q-o-q ดีกว่าที่ตลาดคาดถึง 39% สืบเนื่องจากการโอนคอนโดได้เร็ว ทางบริษัทมีการปรับเพิ่มเป้ายอดขายปีนี้เป็น 21.5 พันล้านบาท จากเดิม 20.5 พันล้านบาท สืบเนื่องจากการขายในปัจจุบันไปได้เป็นอย่างดี เนื่องจากโครงการอยู่ใกล้รถไฟฟ้า จากนี้จะมีการเปิดขายโครงการใหม่ของบริษัทร่วมทุน 1 โครงการใน 3Q59 และอีก 2 โครงการใน 4Q59 ซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายและกำไรต่อไป เราชอบ ANAN ที่จะมีการเติบโตที่โดดเด่นมากในปี 60 ขณะที่อุตสาหกรรมจะเติบโตได้ไม่มาก ทั้งนี้ประมาณการกำไรสุทธิปี 59-60 ขยายตัว 17% และ 66% ตามลำดับ แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 5.60 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 60 ที่ 8 เท่า
กลุ่มอาหารส่งออก : 1H59 มูลค่าส่งออก +10%YoY, ทั้งปี 59 คาด +7%YoY นำโดยกุ้ง, สับปะรด, กะทิ
นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภาพรวมการส่งออกอาหารไทยในช่วง 6 เดือนแรก(ม.ค.-มิ.ย. 2559) มีมูลค่า 474,847 ล้านบาท (+9.9%YoY) สินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ กุ้ง น้ำผลไม้ สับปะรดกระป๋อง น้ำตาลทราย นมพร้อมดื่ม และกะทิสำเร็จรูป ตลาดส่งออกหลักที่ขยายตัวสูงมากในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน (+32.9%) ส่วนตลาดส่งออกอื่นๆ ขยายตัวดีในกลุ่มตลาดเดิม ได้แก่ ญี่ปุ่น (+9.0%) และสหรัฐ (+13.3%) สำหรับตลาดจีน (+0.1% เท่านั้น) เพราะซื้อมันสำปะหลังลดลงเนื่องจากข้าวโพดในประเทศจีนมีราคาถูกและนำมาใช้ทดแทนมันสำปะหลังมากขึ้น
สำหรับ แนวโน้ม 2H59 คาดว่ามูลค่าส่งออกอาหารจะอยู่ที่ 497,153 ล้านบาท (+4.4%YoY) โดยกุ้งส่งออกกุ้งเติบตีทั้งไปใน CLMV และสหรัฐ และส่งออกสินค้าประมงไปสหรัฐดีขึ้นหลังไทยได้รับการปรับสถานะขึ้นเป็น Tier 2 (Watch list) จากเดิมระดับ Tier 3 ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ฯเมื่อ 30 มิ.ย.59 ซึ่งประมาณการตัวเลข 2H59 ทำให้ภาพรวมการส่งออกอาหารทั้งปี 59 จะเติบโตราว 7%YoY ซึ่งดีขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้ตอนต้นปีที่ 5.6% (โดยหลักเป็นเพราะส่งออกกุ้งและสับปะรดที่ดีเกินคาดมาก) และราคาสินค้าเกษตรส่งออกกระเตื้องขึ้น เช่น ราคาข้าว, น้ำตาลทราย, น้ำมันปาล์ม เป็นต้น
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เรามีมุมมองที่เป็นบวกกับหุ้นกลุ่มอาหารในปีนี้ โดยการส่งออกไปได้ดี โดยเฉพาะการส่งออกไก่แปรรูปไปตลาดญี่ปุ่น, การส่งออกกุ้งที่ฟื้นตัวดีขึ้น (จากปริมาณผลผลิตที่เพิ่มจากก่อนหน้าที่มีโรคระบาด EMS), การส่งออกสับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดที่เติบโตขึ้นมาก นอกจากนั้นราคาเนื้อสัตว์ในประเทศก็เพิ่มขึ้นดีด้วย ทั้งเนื้อหมู ไก่ เป็ด เพราะอุปทานออกมาไม่มาก ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ไม่ได้ปรับขึ้นมาก ยังผลให้รายได้และกำไรของผู้ประกอบการแข็งแกร่งกว่าที่เคยคาดไว้ตอนต้นปี หุ้นเด่นเป็น CPF (ราคาพื้นฐาน 40 บาท - ดีทั้งในส่วนของหมู ไก่ และกุ้ง) , GFPT (ราคาพื้นฐาน 15.40 บาท - ดีในส่วนของไก่แปรรูปของบริษัทและบริษัทร่วม McKey & GFN)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]