- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 19 August 2016 17:30
- Hits: 4818
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ทดสอบแนวต้าน 1550 หรือสูงกว่าอีกรอบ"
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้เด้งกลับ โดยบวกขึ้น 15.38 จุดปิดที่ 1547.01 หนุนโดยการซื้อกลับของนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิไป (เมื่อวานซื้อสุทธิ 1.8 พันล้านบาท) นักลงทุนต่างชาติและพอร์ตบล.ซื้อ/ขายสุทธิกลุ่มละ 200 กว่าล้านบาทซึ่งไม่มาก ด้านรายย่อยขายสุทธิ 1.8 พันล้านบาท
คณะกรรมการเฟดที่มีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องระยะเวลาปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ ทำให้ตลาดกังวลเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบก.ย.นี้น้อยลง (ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงต่ำกว่า 95 เป็นตัวสะท้อน) และการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบทำให้ Sentiment การลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานดีขึ้น เพราะความเสี่ยงจากการเกิดผลขาดทุนในสต็อกต่ำลงไปมากเมื่อเทียบกับช่วง 2 สัปดาห์ก่อน หุ้นเด่น คือ PTT (ราคาพื้นฐาน 370 บาท), BCP (ราคาพื้นฐาน 39 บาท), PTTGC (ราคาพื้นฐาน 70 บาท) ส่วนปัจจัยจับตา คือ การประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็คสัน โฮล รัฐไวโอมิ่ง ในวันที่ 26 ส.ค.59 ซึ่งตลาดรอฟังถ้อยแถลงของประธานเฟดเพื่อหาสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ย สำหรับในประเทศ ยังติดตามความคืบหน้าของโครงการลงทุนภาครัฐ และความต่อเนื่องของการฟื้นตัวการบริโภคภาคครัวเรือน & การขยายตัวของภาคท่องเที่ยว กลยุทธ์การลงทุน : ยังเป็นการเลือกซื้อ/ถือหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและยังเหลือ Upside พอควร, มีหุ้นอยู่ก็ควรพิจารณาแบ่งขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นสูงกว่าเป้าหมายที่ประเมินอย่าง Aggressive ไปแล้ว สำหรับหุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น CPN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวก แต่ยังควรระวังการแกว่งเพราะโครงสร้างขาลงระยะกลางยังกดดันอยู่ การซื้อใหม่จึงเน้นตามด้วยค่าบวกและเมื่อ SET ไม่ต่ำกว่า 1540 จุด ให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 1550-1560, 1570 จุด
หุ้น SCAN ที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่ประกอบด้วย CKP, IVL, SPA ส่วนที่ยังอยู่ใน List คือ PACE, KAMART, ASEFA, AAV, MCS หุ้นที่หลุด List คือ XO, STA, SCN และหุ้นที่หาจังหวะขายทำกำไรเป็น PTTGC
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ตัวเลขภาคแรงงานยังออกมาดี
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกปรับตัวลดลง 4,000 ราย สู่ระดับ 262,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 13 ส.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะลดลงสู่ระดับ 265,000 ราย
+ สหรัฐ : ดัชนีภาวะธุรกิจในมิด-แอตแลนติกปรับขึ้นตามคาด
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.0 ในเดือนส.ค. ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดปรับขึ้นเล็กน้อย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,597.70 จุด เพิ่มขึ้น 23.76 จุด หรือ +0.13% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,240.15 จุด เพิ่มขึ้น 11.49 จุด หรือ +0.22% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,187.02 จุด เพิ่มขึ้น 4.80 จุด หรือ +0.22% โดยตัวเลขภาคแรงงานยังออกมาดี ตลาดจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็คสัน โฮล รัฐไวโอมิ่ง ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ ซึ่งนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด จะขึ้นกล่าวในการประชุมครั้งนี้ โดยอาจมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
+ ราคาน้ำมันดิบ : ปรับขึ้นต่อ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 1.43 ดอลลาร์ หรือ 3.1% ปิดที่ 48.22 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 1.04 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 50.89 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นต่อเนื่องมาแล้ว 6 วันทำการ เพราะคลายกังวลเรื่องอุปทานล้นลงไป หลังคาดการณ์ว่ากลุ่มโอเปกจะผลิตน้ำมันลดลงในเดือนส.ค. และปลาย 3Q จะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นกันมากเพื่อรองรับปริมาณการใช้ที่จะเพิ่มขึ้นในช่วง 4Q ซึ่งเป็นฤดูหนาว สำหรับการประชุมนอกรอบของกลุ่มโอเปก 26-28 ก.ย.นี้ เราเห็นว่าเป็นข่าวที่ทำให้บรรยากาศตลาดน้ำมันดีขึ้นแต่อาจไม่มีข้อตกลงเรื่องตรึงปริมาณการผลิต
+ ราคาทองคำ : บวกขึ้น 0.5%
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 8.4 ดอลลาร์ หรือ 0.62% ปิดที่ระดับ 1,357.2 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยราคาทองคำปรับขึ้นเพราะคาดว่าเฟดยังไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.นี้ เพราะความเห็นเจ้าหน้าที่เฟดยังคงแตกต่างกันมาก
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
/+ ไทย : ดัชนีเชื่อมั่นภาคธุรกิจมีแนวโน้มดีขึ้นใน 2H59
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ การประเมินสถานะทางธุรกิจไทย โอกาส และความเสี่ยง จากกลุ่มผู้ประกอบการจำนวน 600 ตัวอย่างทั่วประเทศในกลุ่มธุรกิจเกษตร การค้า การผลิตและธุรกิจบริการ พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในช่วง 1H59 ยังคงไม่ดีนัก โดยดัชนี อยู่ต่ำกว่า 100 แต่ในช่วง 2H59 ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยในช่วง 3Q59 คาดว่าจะอยู่ที่ 101.9 และ 4Q59 อยู่ที่ 103.8 ส่งผลให้ทั้งปี 59 คาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ 98.3 (ดัชนีสูงกว่า 100 สะท้อนว่าภาคธุรกิจเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจดีขึ้น)
ADVANC : สิงเทลซื้อหุ้น INTUCH จากเทมาเส็ก 21% @ 60.83 บาท/หุ้น
สิงเทลจะเข้าซื้อหุ้น INTUCH จากเทมาเส็ก 21% ที่ราคาหุ้นละ 60.83 บาท/หุ้น ซึ่งระดับการเข้าซื้อดังกล่าวจะไม่ต้องทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ (เพราะเข้าถือต่ำกว่า 25%) นอกจากนั้นคาดว่าจะไม่ทำเทนเดอร์ฯ หุ้น ADVANC ด้วย แม้ว่าสิงเทลถือหุ้นโดยตรง+อ้อมหลังดีลนี้เท่ากับ 31.82% (ถือตรง 23.32% ถือโดยอ้อมผ่านดีลนี้ 8.5%) เนื่องจากตามเกณฑ์แล้วจะนำสัดส่วนการถือหุ้น ADVANC ในทางอ้อมมาคิดก็ต่อเมื่อสิงเทลถือหุ้น INTUCH ตั้งแต่ 51% ขึ้นไป ทั้งนี้คาดว่าดีลการซื้อขายหุ้นจะแล้วเสร็จในเดือนธ.ค.59
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : เรามองว่าธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยยังอยู่ในช่วงแข่งขันสูง และมีค่าใช้จ่ายในการตัดจำหน่ายค่าใบอนุญาต ค่าเช่าโครงข่าย รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายจากการลงทุน รวมถึงอัตราการถือครองเบอร์โทรศัพท์ก็อยู่ที่ประมาณ 1.5 เบอร์/คนแล้ว ซึ่งทำให้การเติบโตของกำไรจะจำกัด อย่างไรก็ตาม บริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานเงินทุนมั่นคงอย่าง ADVANC และ INTUCH ยังมีการจ่ายปันผลที่ดี แม้ว่าจะไม่ได้จ่ายในอัตรา 100% ของกำไรสุทธิเหมือนในอดีตแล้ว แต่เชื่อว่ายังสามารถคาดหวังอัตราการจ่ายในระดับ 80% ของกำไรสุทธิได้อยู่ ซึ่งจะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจ คือ ประมาณ 5% ต่อปีได้ (คิดจากราคาหุ้น ADVANC 172.50 บาท) แนะนำซื้อสะสมจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว โดยฝ่ายวิจัยฯ DBSV ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 175 บาท
+ CPN (ราคาปิด 56 บาท, ราคาพื้นฐาน 70 บาท) : แนวโน้มเติบโตดี การเปิดสาขาเป็นไปตามแผน
บริษัทประกาศกำไรหลัก 2Q59 ออกมาเป็นไปตามที่เราและตลาดคาดการณ์ไว้ โดย +14%YoY เป็น 2.3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการเปิด 4 โครงการใหม่ในช่วงปี 58 ที่ผ่านมาคือ ระยอง ภูเก็ต เวสต์เกตย์ และอีสวิลล์ และสาขาปิ่นเกล้าให้รายได้เข้ามาเพิ่มขึ้นหลังจากการปรับปรุงตกแต่งแล้วเสร็จไป 85% ในเดือนธ.ค.58 (ส่วนที่เหลือ 15% เปิดมิ.ย.59) อัตราการเติบโตค่าเช่า (same store renting) เพิ่มขึ้น3%YoY
และอัตราค่าเช่าขยับขึ้น 1.7%YoY เป็น 1,559 บาทต่อตรม.ต่อเดือน อย่างไรก็ตามกำไรได้ลดลง 4%QoQ เพราะรายได้ของธุรกิจโรงแรมอ่อนลงตามปัจจัยฤดูกาล แนวโน้มธุรกิจเป็นบวก เพิ่งเปิดศูนย์การค้าสาขาใหม่ล่าสุดแห่งที่ 30 คือ นครศรีธรรมราช เมื่อ 28 ก.ค.59 ซึ่งอัตราการเช่าพื้นที่ (OR) สูงเป็น 90% ส่วนสาขาใหม่อื่นก็ทยอยก่อสร้าง และโปรแกรมการเปิดก็ยังเป็นไปตามแผน ส่วนธุรกิจคอนโดมิเนียมจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 61 และบริษัทมีแผนเปิดขายคอนโดทุกปี คงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 70.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี SOP (sum of parts) ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรปี 59 ไว้ที่ 17%, ปี 60 เป็น 13% และปี 61 เป็น 21%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]