- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 15 August 2016 17:25
- Hits: 7834
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ไม่หลุด 1530 เป็นแค่พัก, แต่ถ้าหลุดมีสิทธิลงไปที่ 1500+/-'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ILINK NWR PACE (จากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวันที่ 11 ส.ค.แกว่งในกรอบแคบ โดยแรงซื้อ/ขายทำกำไรจาก Theme ผลประกอบการชดเชยกันไป นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิอีก 4.6 พันล้านบาท สถาบันในประเทศและรายย่อยขายสุทธิลดความเสี่ยงก่อนวันหยุดยาว ส่วนพอร์ตบล.ซื้อสุทธิแต่เพียงเล็กน้อย
สำหรับวันนี้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสแกว่งตัวสูง โดยปัจจัยที่กดดัน คือ เหตุการณ์ระเบิดหลายจุดในภาคใต้ โดยเฉพาะที่หัวหิน ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ทำให้ความวิตกเรื่องการเมือง & ความไม่สงบกลับมา ส่งผลลบต่อภาคท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และหุ้นไทยโดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวกับท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ถ้ารัฐบาลแก้ไขสถานการณ์ได้เร็วและไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอีกก็จะเป็นผลกระทบแค่ช่วงสั้นและหุ้นก็มีสิทธิดีดกลับได้ ส่วนผลประกอบการ 2Q59 ของบจ.ไทยเห็นว่าออกมาดีกว่าคาดเป็นจำนวนมาก ทั้งจากกำไรในสต็อกที่เกิดจากราคาน้ำมันเพิ่มในช่วง 2Q59, การขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ, การหาลูกค้าและตลาดส่งออกเพิ่มเติม, การลดต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ, ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง, การเข้าซื้อกิจการเพื่อเติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็นต้น อย่างไรก็ดี ควรระวังหุ้นกลุ่มพลังงานที่จะมีผลประกอบการอ่อนลงใน 3Q59 เพราะราคาน้ำมันร่วงลง สำหรับปัจจัยที่ติดตาม คือ รายงาน GDP Growth ประจำ 2Q59 ของไทย, สถานการณ์ในประเทศ, รายงานการประชุมเฟด และตัวเลขเศรษฐกิจประเทศชั้นนำต่างๆ กลยุทธ์การลงทุน : ยังเป็นการเลือกซื้อ/ถือหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและยังเหลือ Upside พอควร, มีหุ้นอยู่ก็ควรพิจารณาแบ่งขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นสูงกว่าเป้าหมายที่ประเมินอย่าง Aggressive ไปแล้ว สำหรับหุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น WORK
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกแต่ควรระวังการแกว่ง/อ่อนหลังมีเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้และดัชนีอยู่ในความกดดันจากภาวะ Overbought + Divergence ด้วย การซื้อใหม่เน้นเมื่อ SET ไม่ต่ำกว่า 1530 จุด แต่ถ้าต่ำกว่าก็รอรับที่แนว 1500+/- จุดเลย สำหรับหุ้นที่มีเทคนิคเด่น ได้แก่ CPF, CTW, PACE, SENA, TPCH เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- สหรัฐ : ดัชนีเงินเฟ้อด้านต้นทุนลดลงในเดือนก.ค.
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 0.4%MoM ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 4 เดือน และยังเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 58 หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนมิ.ย. และสวนทางกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่ม 0.1%MoM
สหรัฐ : ยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ทรงตัว
ยอดค้าปลีกเดือนก.ค.59 ทรงตัว MoM ซึ่งผิดไปจากที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะ +0.4%MoM หลังจากที่ปรับตัวขึ้นมา 3 เดือนติดต่อกัน ซึ่งตัวเลขเดือนก.ค.นี้บ่งชี้ว่าการใช้จ่ายผู้บริโภคในไตรมาส 3/59 อาจชะลอตัวลง หลังจากที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่งถึง +4.2% ในไตรมาส 2/59 และอาจส่งผลต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ด้วย
+ สหภาพยุโรป : GDP งวด 2Q59 เติบโต 0.4%QoQ และ 1.8%YoY
สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือยูโรสแตท เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/59 ของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% จากไตรมาสก่อนหน้า และเติบโต 1.8%YoY สำหรับ GDP ของยูโรโซนเพิ่มขึ้น 0.3%QoQ (ลดลงจาก +0.6% ในไตรมาส 1/59) ทั้งนี้เศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งใหญ่สุดใน EU เติบโต 0.4%QoQ ในไตรมาส 2/59 ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ +0.2%QoQ
- ญี่ปุ่น : GDP Growth งวด 2Q59 เติบโตลดลง
รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2559 ขยายตัวเพียง 0.2% ซึ่งชะลอตัวลงอย่างมากเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ที่มีการขยายตัว 1.9%
/- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดอ่อนลงเล็กน้อย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,576.47 จุด ลดลง 37.05 จุด หรือ -0.20% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,232.90 จุด เพิ่มขึ้น 4.50 จุด หรือ +0.09% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,184.05 จุด ลดลง 1.74 จุด หรือ -0.08% ทั้งนี้นักลงทุนผิดหวังยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ที่ไม่เติบโต และดัชนีเงินเฟ้อด้านต้นทุนในเดือนก.ค.ต่ำลง ทำให้กังวลกับการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงไตรมาส 3/59
+ ราคาน้ำมันดิบ : ปรับขึ้นราว 1%
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 44.49 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 93 เซนต์ หรือ 2% ปิดที่ 46.97 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ตลาดประเมินว่าราคาน้ำมันดิบน่าจะลดลงชั่วคราว แล้วจะปรับขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 เนื่องจากจะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นก่อนไตรมาส 4 และอุปสงค์น้ำมันในไตรมาส 4 จะเพิ่มขึ้นเพราะเป็นช่วงฤดูหนาว
- ราคาทองคำ : ร่วงลงต่อ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ปรับตัวลง 6.8 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ปิดที่ 1,343.20 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากแรงขายทำกำไร
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
- กลุ่มท่องเที่ยว & โรงแรม & การบิน : ระยะสั้นได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ระเบิดหลายครั้งในภาคใต้
คาดกระทบอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวในระยะสั้น - เราคาดว่าเหตุการณ์วางระเบิดในหลายพื้นที่ในภาคใต้ว่าจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเพียงระยะสั้นถ้าฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลหาผู้กระทำผิดได้เร็ว และควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกิดความรุนแรงและบานปลายต่อไป ซึ่งล่าสุดทางรองผบ.ตร.ระบุว่าขณะนี้ (วันที่ 13 ส.ค.) รู้ตัวมือระเบิดแล้ว โดยมีทั้งพยานและหลักฐานประกอบพร้อมขอหมายจับจากศาล อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงตามมาอีกหรือไม่
ม.หอการค้าไทยคาดความเสียหายจะไม่เกิน 1,000 ล้านบาท
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เหตุการณ์ระเบิดในพื้นที่หลายจังหวัดจะผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่เกิน 1,000 ล้านบาทถ้ารัฐบาลคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม การบิน มีโอกาสอ่อนลงก่อนในระยะสั้นมาก อย่างไรก็ตาม
ถ้าไม่มีเหตุรุนแรงตามมาอีก ราคาหุ้นก็มีโอกาสกลับขึ้นไปหาราคาพื้นฐานได้ ซึ่งหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่ทาง DBSV ยังคงคำแนะนำซื้อ และราคาพื้นฐานมี Upside จากราคาปัจจุบัน ได้แก่ AOT (ราคาพื้นฐาน 470 บาท), BA (ราคาพื้นฐาน 28.30 บาท), MINT (ราคาพื้นฐาน 50 บาท), ERW (ราคาพื้นฐาน 5.70 บาท)
- ไทย : FDI อาจเข้าไทยน้อยลงหลังอินโดนีเซียปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงเหลือ 17% จาก 25%
มีรายงานในเว็บไซต์ของสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของอินโดนีเซียระบุว่า รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังพิจารณาปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 25% เป็น 17% (เท่ากับสิงคโปร์) เพื่อส่งเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันของประเทศและดึงดูดบริษัทเอกชนของประเทศให้ฝากเงินภายในประเทศ
ความเห็น Retail Research : เราประเมินว่าไทยอาจได้รับผลกระทบเรื่องการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign direct investment) ที่อาจจะลดลง เมื่อทางรัฐบาลอินโดนีเซียใช้นโยบายผ่อนคลายภาษีมาดึงเงินลงทุนเข้าประเทศ (โดยอัตราภาษีรายได้นิติบุคคลของอินโดนีเซียจะลงไปที่ 17% ต่ำกว่าของไทยในปัจจุบันที่ 20%) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนที่ดูเหมือนว่าค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นจะมีการกระจายการลงทุนไปนอกไทยมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ก็เช่นกัน มีการกระจายการลงทุนไปในประเทศอื่นๆนับตั้งแต่เกิดวิกฤตน้ำท่วมเมื่อปี 4 ปีก่อน และยังมีอีกหลายอุตสาหกรรมที่กำลังถูกพิจารณากระจายการลงทุนไปในประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่มีต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า ซึ่งประเด็นเรื่อง FDI ที่ชะลอลงเป็นเรื่องที่ทางการและภาคเอกชนไทยต้องวางแผนรับมือ และหาแหล่งอื่นเข้ามาเข้ามาทดแทนเงินลงทุนจากต่างประเทศให้มากขึ้น
+ WORK (ราคาปิด 37.75 บาท, ราคาพื้นฐาน 45 บาท) : กำไร 2Q59 ทำ Record high
บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 2Q59 เท่ากับ 134 ล้านบาท (+18%YoY และ +366%QoQ) ...สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท โดยมาจากการเติบโตของรายได้ โดยเฉพาะรายได้จากรายการทีวี (+33%YoY) ที่ออกรายการใหม่ เช่น I can see your voice และไมค์ทองคำเด็ก ฯลฯ ทำให้เรทติ้งเพิ่มเป็น 1.26 ใน 2Q59 (จาก 0.85 ในปี 58) และมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นเป็น 48.9% (จาก 43.2% ใน 2Q58 และ 41.7% ใน 1Q59) เพราะต้นทุน 90% ของทั้งหมดเป็นต้นทุนคงที่ แนวโน้ม 3Q กำไรจะอ่อนลงเมื่อเทียบ QoQ เพราะเป็น Low season ของธุรกิจ แต่เมื่อเทียบกับปีก่อนจะยังเติบโตได้สูง โดยฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์ว่า Core profit บริษัทจะเติบโตสูง 72% ในปี 59 และขยายตัวต่อ 55% ในปี 60 ฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยเป็นเงินสดสุทธิ บริษัทมีจุดเด่นเรื่องการผลิตรายการทีวีได้เองและเป็นรายการที่ได้รับความนิยมสูง แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 45 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]