- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 15 August 2016 16:49
- Hits: 1204
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ปรับฐานต่อจากเหตุระเบิดแหล่งท่องเที่ยวภาคใต้ แต่คาด Flow Flow หนุน SET มีโอกาสฟื้นตัวต่อ กลยุทธ์ให้สะสมหุ้นขนาดใหญ่-กลาง laggard (TMB, TASCO, PTTEP, RATCH, BH) วันนี้เลือก PTTEP(FV@B89) ราคาน้ำมันยังฟื้นตัวต่อ และ CPF(FV@B35) กำไรงวด 2Q59 ดีกว่าคาด เตรียมปรับกำไรและมูลค่าหุ้นขึ้นจากเดิม
เหตุระเบิดแหล่งท่องเที่ยวภาคใต้ กดดันหุ้น AOT, AAV
ช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วระหว่างวันที่ 10-12 ส.ค. เกิดเหตุการณ์ระเบิดป่วนเมืองและเพลิงไหม้ในพื้นที่ภาคใต้ 7 จังหวัด อาทิ หัวหิน(ประจวบคีรีขันธ์) สุราษฎร์ธานี กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต นครศรีธรรมราช ซึ่งส่วนส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชุมชนและย่านการค้า(ตลาด ร้านอาหาร อาคารพาณิชย์) ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บราว 35 ราย ล้วนกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยและภาคการท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ และ ภาคท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งทำรายได้หลักของประเทศ คือเป็น 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติทั้งหมด (แบ่งเป็นจากต่างชาติ65% และ 35% เป็นคนไทย) แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนอาจจะมีค่อนข้างจำกัด คือ
กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม : เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ( High Season เริ่ม พ.ย. – มี.ค. ของทุกปี ) แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์จะกลับสู่ปกติหลังจากเหตุการณืประมาณ 2 เดือน (เหมือนทุกครั้งที่เวลามีเหตุร้ายในอดีต) ขณะที่หากพิจารณาบริษัทจดทะเบียน ส่วนใหญ่มีโรงแรมให้บริการในแหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวน้อย ยกเว้นที่ หัวหิน ซึ่งพบว่า ERW, CENTEL และ MINT มีโรงแรมเพียง 1 แห่งที่หัวหิน คิดเป็นสัดส่วน 3%, 3% และ 1% ของจำนวนห้องพักภายใต้พอร์ตการบริหาร ตามลำดับ ทั้งนี้แม้ ERW พึ่งพารายได้ธุรกิจโรงแรมมากสุดกว่า 90% แต่รายได้จากโรงแรมหัวหินคิดเป็นเพียง 2% ของรายได้รวม ขณะที่ CENTEL มีกระจายตัวของรายได้ทั้งอาหารและโรงแรมอย่างละเกือบ 50% เช่นเดียวกับ MINT มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลายสุดทั้งโรงแรม, อาหาร, อสังหาฯ และค้าปลีก คาดรายได้จากโรงแรมหัวหินของทั้ง 2 บริษัทไม่เกิน 3-4% ของรายได้หลัก (ติดตามอ่านใน Equity Talk เช้านี้)
กลุ่มขนส่งทางอากาศ : น่าจะกระทบต่อการเดินทางท่องเที่ยวช่วงสั้น ๆ ซึ่งน่าจะกระทบต่อสายการบินทุกแห่ง เช่น THAI มีสัดส่วนรายได้จากภาคใต้เพียงราว 4%-5% ของรายได้ ขณะที่ AAV และ BA ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดในประเด็นนี้
ตามด้วยผู้ให้บริการสนามบินน่าจะกระทบมากกว่าสายการบิน เพราะกระทบทั้งจำนวนเที่ยวบิน และ ผุ้โดยสายที่ลดลงในช่วงสั้น กล่าวคือ AOT มีสนามบิน 2 แห่งในภาคใต้ คือ หาดใหญ่ และภูเก็ต ปริมาณผู้ใช้บริการช่วง 6M59 (สิ้นสุด ก.ย. 59) มีสัดส่วนราว 15.5% ของรายได้ แต่โดยรวมฝ่ายวิจัยประเมิน AOT มีสัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมภาษีสนามบินขาออกจาก 2 สนามบินดังกล่าวอยู่ราว 10% ของรายได้รวม โดยผลกระทบแต่ละบริษัทสรุปได้ดังนี้
AOT ภายใต้สมมติฐานปัจจุบันกำหนดการเติบโตผู้ใช้บริการปีบัญชี 2559 (สิ้นสุด ก.ย. 59) เติบโต 12% ทั้งนี้หากกำหนดให้การเติบโตฯ ลดลงทุก 1% จะกดดันกำไรให้ลดลง 1.3% และกระทบ Fair Value 7 บาท
AAV, BA และ THAI ปัจจุบันกำหนดสมมติฐาน Cabin Factor ในปีนี้ที่ 81%, 70% และ 73% พบว่าทุก Cabin Factor ที่ลดลง 1% จะกระทบต่อกำไร AAV, BA และ THAI ลดลง 11%, 10% และ 43% และกระทบ Fair Value ลดลง 0.24, 1 และ 1 บาท ตามลำดับ
ด้วยเหตุนี้จึงให้ ขายทำกำไรหุ้น AOT(FV@B490),BA([email protected]) และ AAV([email protected]) เนื่องจากราคาหุ้นได้ขยับขึ้นมาเร็วในช่วงสั้น ๆ
กลุ่มค้าปลีก : เชื่อผลกระทบจำกัดเนื่องจากเหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดในตลาดสด ขณะที่จำนวนสาขา Modern Trade ภาคใต้มีน้อย คิดเป็นราว 6-14% ของสาขาทั้งหมด (ส่วนใหญ่ยังเปิดให้บริการตามปกติ ยกเว้นห้างโลตัส นครศรีธรรมราชที่ปิดทำการราว 2 วัน ) และหากพิจารณาเฉพาะหัวหิน ซึ่งเหตุการณ์รุนแรงสุด พบว่า สัดส่วนรายได้จะเหลือราว 1-2% ( ROBINS แห่งเดียวไม่มีสาขาในพื้นที่ดังกล่าว) แต่อย่างไรก็ตามพบว่าหุ้นค้าปลีกส่วนใหญ่เต็มมูลค่าแล้วจึงแนะขาย ROBINS, HMPRO, CPALL, รวมถึง BJC (FV ปี 2559@B47, ปี 2560@53)
ความคาดหวังจะคงการผลิต และดอลลาร์อ่อนค่า หนุนน้ำมันฟื้นตัวต่อดีต่อ PTTEP
ล่าสุดราคาน้ำมันดิบโลกยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง เชื่อว่านอกจากแรงหนุนของเงินสกุลดอลลาร์ที่ทรงตัวถึงอ่อนค่า จากความคาดหวังว่า Fed ไม่น่าจะมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ หลังการรายงานดัชนีเศรษฐกิจล่าสุดต่ำกว่าคาด (ยอดค้าปลีกล่าสุดเดือน ยอดค้าปลีก เดือน ก.ค. ทรงตัวจากเดือนก่อน (0%) VS ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 0.4% เนื่องจากปริมาณการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ และเป็นการปรับลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ) กดดันให้ Dollar Index ยังคงแกว่งตัวอยู่ในทิศทางอ่อนค่า ( ล่าสุด Dollar Index อยู่ระดับ 95.758 จุด)
ความคาดหวังต่อปริมาณการผลิตจะไม่เพิ่มขึ้นถือว่าเป็น sentiment เชิงบวกระยะสั้น ๆ ทั้งหนี้หลังจากที่ นายกรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของซาอุดิอาระเบีย ส่งสัญญาณที่จะเจรจาให้คงกำลังการผลิตในการประชุมกลุ่ม OPEC อย่างเป็นทางการที่จะจัดขึ้นวันที่ 26-28 ก.ย. นี้ ณ ประเทศแอลจีเรีย ซึ่งตลาดคาดมีความเป็นไปได้มากกว่าครั้งก่อน เนื่องจาก อิหร่าน กลับมาผลิตเท่ากับระดับก่อนการคว่ำบาตรแล้ว ทำให้มีแนวโน้มจะกลับมาความร่วมมือคงกำลังการผลิต ซึ่งน่าจะดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่าง PTTEP(FV@B89) ที่ราคาหุ้นยัง Laggard แม้ราคาตลาดจะมี upside เหลือ 10% แต่หากไปใช้ fair value ปี 2560 ที่ 108 บาทจะมี upside 33% ขณะที่ PTT(FV@B342) มี upside จำกัด จึงแนะนำสะสม PTTEP(FV@B89)
แรงซื้อหุ้นไทยอาจชะลอตัวลงในช่วงสั้น จากเหตุความรุนแรงในประเทศ
วันศุกร์และวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคทั้ง 2 วัน ด้วยมูลค่า 2 วันรวมกัน 630 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 6และ7) และเป็นการซื้อสุทธิสะสมรวมทั้ง 5 ประเทศ ประกอบด้วย ไต้หวันซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 160 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 7) ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ 149 ล้านเหรียญ, อินโดนีเซีย 57 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 15), เกาหลีใต้ 1 ล้านเหรียญ ส่วนตลาดหุ้นไทยแม้วันศุกร์จะหยุดทำการเนื่องจากเป็นวันแม่แห่งชาติ แต่วันพฤหัสพบว่า ต่างชาติยังซื้อสุทธิราว 131 ล้านเหรียญ หรือ หรือ 4.6 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 6 โดยมียอดซื้อสุทธสะสมรวมสูงถึง 2.2 หมื่นล้านบาท) อย่างไรก็ตามคาดว่า แรงซื้อหุ้นอาจชะลอตัวลงในช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากความกังวลต่อเหตุการณ์อันไม่สงบในประเทศ ส่วนนักลงทุนสถาบันฯยังคงขายสุทธิราว 1.0 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3)
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิราว 2.1 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 632 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
CPF กำไรดีกว่าคาดมีโอกาสปรับประมาณการกำไรและมูลค่าหุ้นขึ้น
ช่วงนี้ยังเป็นฤดูกาลประกาศงบงวด 2Q59 ของในกลุ่ม Real Sector ซึ่งพบว่ามีบางกลุ่มมีผลกำไรดีกว่าคาด โดยเฉพาะในกลุ่มส่งออกอาหาร โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตผลิตภัณฑ์หมูและ ไก่ ซึ่งพบว่าราคาหมูและไก่ หน้าฟาร์ม ปรับตัวดีกว่างวด 1Q59 หนุนรายได้ ขณะที่ต้นทุนการผลิตยังคงทรงตัว หนุนกำไรของผู้ประกอบการทุกราย ทั้ง GFPT, TFG และ ล่าสุด CPF รายงานงบดีกว่าคาด กล่าวคือ
CPF (ซื้อ FV@B35) รายงานกำไรสุทธิงวด 2Q59 เท่ากับ 4.0 พันล้านบาท สูงกว่าคาด 5% เพิ่มขึ้น 6.7% qoq และ 34.7% yoy แม้ว่า CPF จะบันทึกภาษีค้างจ่ายย้อนหลังเป็นเวลา 5 ปี เท่ากับ 1.2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษที่จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (วิธีการคำนวณภาษี BOI แตกต่างจากวิธีของกรมสรรพากร) และหากพิจารณากำไรจากการดำเนินงานงวด 2Q59 เท่ากับ 4.6 พันล้านบาท สูงกว่าคาด เพิ่มขึ้นถึง 115.6% qoq และพลิกจากที่ขาดทุน 53 ล้านบาท ในงวด 2Q58
ทั้งนี้ปัจจัยสนับสนุนจากธุรกิจสุกรที่ราคาสุกรเฉลี่ยงวด 2Q59 ปรับเพิ่มขึ้นถึง 15.0% qoq และ 12.1% yoy มาอยู่ที่ 74.2 บาท/ก.ก. ส่วนธุรกิจไก่ยังดีต่อเนื่องเช่นกัน ผลจากการเข้าฤดูกาลส่งออกเนื้อไก่สู่ญี่ปุ่นและยุโรป และราคาไก่เฉลี่ยงวด 2Q59 เท่ากับ 37.2 บาท/ก.ก. เพิ่มขึ้น 1.4% qoq (แต่ลดลง 2.2% yoy) นอกจากนี้ ธุรกิจกุ้งยังฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากการเข้าฤดูกาลเลี้ยงกุ้ง โดยรวมหนุน gross margin งวด 2Q59 ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 17.4% ทำให้ฝ่ายวิจัยมีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2559-60 ขึ้นหลังเข้าประชุมนักวิเคราะห์ในวันที่ 16 ส.ค. 59 โดยประเมิน FV ปี 2559 ใหม่ จะอยู่ที่ 40 บาท ทั้งนี้ แม้ว่า CPF จะมีความเสี่ยงเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งค่า แต่ปัจจัยบวกจากราคาเนื้อสัตว์ในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นมีน้ำหนักมากกว่า จึงหักล้างไปได้ทั้งหมด
พบว่าผลประกอบการของ CPF ดีขึ้นมาก สอดคล้องกับผลการดำเนินงานงวด 2Q59 ของ GFPT (ซื้อ FV ปี 2560@B17) ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 381 ล้านบาท สูงกว่าคาด 11% เพิ่มขึ้นถึง 38.5% qoq และ 90.5% yoy มีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณส่งออกเนื้อไก่เพิ่มขึ้น 7.4% qoq และ 9.4% yoy เป็น 5.8 พันตัน เนื่องจากการเริ่มเข้าฤดูกาลส่งออกเนื้อไก่ต่างประเทศ หนุนคำสั่งซื้อเนื้อไก่จากลูกค้ายุโรปและญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ gross margin ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 13.8%
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์