- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 09 August 2016 17:35
- Hits: 5238
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เก็งกำไรผลประกอบการ & ปันผลระหว่างกาล'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้พุ่งขึ้น 23.57 จุด ปิดที่ 1542.26 รับข่าวประชามติผ่านร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ซึ่งจะทำให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในปลายปี 60 หรืออย่างช้าต้นปี 61 ทำให้ความกังวลเรื่องการเมืองไทยผ่อนคลายลง นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิมากถึง 6.8 พันล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2 พันล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อสุทธิราว 1 พันล้านบาท ส่วนรายกลุ่มเป็นกลุ่มเดียวที่ขายสุทธิ
หลังจากเรื่องการทำประชามติร่างรธน.ไปแล้ว นักลงทุนก็ให้น้ำหนักกับผลประกอบการ 2Q59 และการประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลของบจ.ที่ทยอยออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นมีความคึกคักต่อในช่วงที่เหลือของเดือนส.ค.นี้ นอกจากนั้นราคาน้ำมันดิบที่เริ่มกระเตื้องก็ทำให้บรรยากาศการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานดีขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบปัจจุบันที่ต่ำกว่าระดับปิดสิ้น 2Q58 อยู่ราว 9% ก็ยังเป็นแรงกดดันผลประกอบการ 2Q59 ของกลุ่มพลังงาน (เพราะคาดว่าจะพลิกไปขาดทุนในสต็อก จากที่มีกำไรในส่วนนี้มากช่วง 2Q59) กลยุทธ์การลงทุน : ยังเป็นการเลือกซื้อ/ถือหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีรองรับและยังเหลือ Upside พอควร, มีหุ้นอยู่ก็ควรพิจารณาแบ่งขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นสูงกว่าเป้าหมายที่ประเมินอย่าง Aggressive ไปแล้ว สำหรับหุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น EPG
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวก โดยดัชนีปิดเหนือเส้น SMA10 ได้ แต่ยังควรระวังแกว่งจากภาวะ Overbought + Divergence การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1550, 1560 จุด แนวตัดขาดทุน/ลดพอร์ตตามคือ 1520 จุด
สำหรับการ SCAN หุ้นเทคนิคดีพบว่า หุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ XO, LH, SEAFCO, TMT, VIBHA ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ CENTEL, JMART หุ้นที่หลุด List -ไม่มี- และหุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take profit ได้แก่ TACC, IVL, PTTGC, CPF
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : เฟดระบุตลาดแรงงานเดือนก.ค.ฟื้นตัว
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่าดัชนีภาวะตลาดแรงงานดีดตัวขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค.59 โดยดัชนีภาวะตลาดแรงงาน (LCMI) ปรับตัวขึ้น +1.0 ในเดือนก.ค. หลังจากที่ -0.1 ในเดือนมิ.ย. โดยเป็นการสะท้อนตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 255,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. หลังเพิ่มขึ้น 287,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.9%
ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดอ่อนลงเล็กน้อย...จากแรงขายทำกำไร
ดัชนี DJIA ปิดลดลง 14.24 จุด หรือ -0.08% ดัชนี NASDAQ ปิดลดลง 7.98 จุด หรือ -0.15% ดัชนี S&P500 ปิดลดลง 1.98 จุด, -0.09% โดยตลาดอ่อนลงจากแรงขายทำกำไรหลังดัชนีปรับขึ้นแรงตอบรับตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.ที่พุ่งขึ้นดีเกินคาด อย่างไรก็ตาม การลดลงไม่มากเพราะมีแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบรีบาวด์
+ ราคาน้ำมันดิบ : ปรับขึ้นกว่า 2% รับข่าวประชุมกลุ่มโอเปกไม่เป็นทางการ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.ปรับขึ้น 1.22 ดอลลาร์ หรือ +2.9% ปิดที่ 43.02 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบต.ค.บวกขึ้น 1.12 ดอลลาร์ หรือ +2.5% ปิดที่ 45.39 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยการซื้อขายคึกคักมากขึ้น ปัจจัยหนุน คือการที่กลุ่มโอเปกจะมีประชุมอย่างไม่เป็นทางการในเดือนก.ย.59 ที่กรุงอัลเจียร์ส ประเทศแอลจีเรีย เพื่อหารือถึงแนวทางการสร้างเสถียรภาพในตลาดหลังจากราคาน้ำมันร่วงลงในช่วงที่ผ่านมา
- ราคาทองคำ : ลดลงต่อ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 3.1 ดอลลาร์ หรือ 0.23% ปิดที่ระดับ 1,341.3 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นผลจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
GLOBAL (ราคาปิด 15.20 บาท) : กำไร 2Q58 เติบโตแกร่ง 58%YoY
กำไรสุทธิ 2Q59 เท่ากับ 417 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 58%YoY โดยรายได้เพิ่ม 8%YoY เป็น 4.8 พันล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 20.7% ใน 2Q59 จาก 17.2% ใน 2Q58 เพราะเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่เป็น House Brand มากขึ้น รวมทั้งมีส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้า (Global House International) เข้ามา 6.6 ล้านบาท จากที่ขาดทุนเล็กน้อยในช่วง 2Q58 โดยบริษัทเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 6 สาขาในช่วงเวลา 2Q58-2Q59 รวมเป็นทั้งหมด 40 สาขา การเติบโตของยอดขายมาจากทั้งยอดขายสาขาเดิมและยอดขายจากสาขาที่เปิดใหม่ สำหรับกำไรสุทธิ 1H59 เท่ากับ 868 ล้านบาท เติบโต 81%YoY โดยมาจากยอดขายเติบโต 11%YoY และอัตรากำไรขั้นต้นงวด 1H59 เพิ่มเป็น 20.1% จาก 15.8% ในช่วง 1H58 นับว่าผลประกอบการมีการฟื้นตัวดีขึ้นอย่างแข็งแกร่ง การจัดการด้านต้นทุน & สินค้าคงคลัง การควบคุมค่าใช้จ่าย และกลยุทธ์การเพิ่มสินค้า House Brand ช่วยหนุนให้มาร์จิ้นบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในเชิงกลยุทธ์ เรามีมุมมองที่เป็นบวกกับบริษัทและผลประกอบการปี 59 อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมารอรับข่าวดีไปพอควรแล้ว ระยะสั้นมากควรระวังการแกว่ง/อ่อนตัว
+ EPG (ราคาปิด 12.60 บาท) : คาดกำไรสุทธิ 2Q59 เติบโตสูงกว่า 50%YoY
คาดการณ์ Core Profit ช่วง 1Q60 (เม.ย.-มิ.ย.59) ของบริษัทจะเติบโตกว่า 50%YoY โดยมาจากการขยายตัวของธุรกิจฉนวนยางและชิ้นส่วนพลาสติกยานยนต์ที่แข็งแกร่งทั้งจากลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ชั้นนำของโลก สำหรับเป้าหมายงวดปี 60 (เม.ย.59-มี.ค.60) คาดว่ารายได้จะเติบโต 20%YoY เป็น 10-11 พันล้านบาท นำโดยการเติบโตของ Aeroklas (ARK) ที่ 32%YoY ต่อเนื่องจากงวดปี 59 ที่ขยายตัวถึง 50%YoY ส่วนการเติบโตของ Insulation Rubber และ Packaging อยู่ที่ประมาณ 10% สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นของทั้งปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 27-30% ลดลงจาก 33% ในงวดปี 59 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบเม็ดพลาสติกขยับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบยังไม่กระทบมาร์จิ้นบริษัททันทีเพราะมีสต็อกวัตถุดิบ และส่งผ่านต้นทุนเพิ่มไปยังลูกค้าด้วยการทอนส่วนลดลงหรือลดโปรโมชั่นทางการตลาด ซึ่งบริษัทคาดว่าจะยังรักษามาร์จิ้นในระดับสูงมากได้อีก 3-6 เดือน ด้าน Outlet ที่ออสเตรเลียคาดว่าจะคุ้มทุนในงวดปี 60 จากที่ขาดทุน 40 ล้านบาทในงวดปี 59 บริษัทมีการนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ทันสมัยเข้ามาใช้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้นและต้นทุนการผลิตลดลง โดยสายการผลิตใหม่ของโรงงาน Packaging จะผลิตได้เร็วขึ้น มี Economy of scale มากขึ้น รวมทั้งได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งใกล้ที่จะเปิดดำเนินการแล้ว แนะนำซื้อ โดย DBSV ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 17 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]