- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 08 August 2016 17:43
- Hits: 4923
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'คาดได้เลือกตั้งตามโรดแมบช่วยหนุน'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index วันศุกร์ปิด +10.76 จุดที่ 1518.69 โดยเป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาคซึ่งมีแรงหนุนจากการที่ BOE มีมติลดดอกเบี้ยลง 0.25% (จาก 0.50% เป็น 0.25%) และกลับมาใช้โครงการ QE มูลค่า 6 หมื่นล้านปอนด์/เดือน อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายอ่อนลงไปบ้างเพราะจะมีการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญวันอาทิตย์ที่ 7 ส.ค.59 นักลงทุนสถาบันในประเทศนำซื้อสุทธิ 2.2 พันล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 989 ล้านบาท รายย่อยนำขายสุทธิ 3.1 พันล้านบาท ส่วนพอร์ตบล.ขายสุทธิเล็กน้อยที่ 113 ล้านบาท
ผลประชามติออกมาแล้ว 94% พบว่าคะแนนเสียงรับร่างรัฐธรรมนูญอยู่ที่ 61.57% และไม่รับร่างฯ 38.43% ส่วนคะแนนเสียงรับคำถามพ่วงมี 58.28% และไม่รับ 41.72% ทั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิราว 55% จำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 50,585,118 คน ของที่มาออกเสียงทั้งหมด ซึ่งผลดังกล่าวเป็นบวกต่อตลาดหุ้นเพราะเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปได้ในปลายปี 60 หรืออย่างช้าต้นปี 61 ประกอบกับ Sentiment ตลาดต่างประเทศก็เป็นบวกจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.ของสหรัฐออกมาสูงเกินคาดที่ 2.55 แสนตำแหน่ง (จากที่ประเมินไว้ 1.8 แสนตำแหน่ง) และอุปสงค์สินค้านำเข้าของสหรัฐเพิ่มขึ้นในเดือนมิ.ย.59 นอกจากนั้นตลาดหุ้นไทยยังได้อานิสงค์จาก Fund flow ที่เข้ามา รวมถึงการเก็งกำไรผลประกอบการ 2Q59 ที่จะออกมามากขึ้นในสัปดาห์นี้ กลยุทธ์การลงทุน : เลือกซื้อ/ถือหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีรองรับและยังเหลือ Upside พอสมควร (ดูรายละเอียดใน Hot Issue วันนี้) และถ้ามีหุ้นอยู่ก็ควรพิจารณาแบ่งขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นสูงกว่าเป้าหมายที่ประเมินอย่าง Aggressive ไปแล้ว สำหรับหุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น PTTGC
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวก โดยดัชนีปิดเหนือเส้น SMA10 ได้ แต่ยังควรระวังแกว่งจากภาวะ Overbought + Divergence การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1530-1540, 1550 จุด แนวตัดขาดทุน/ลดพอร์ตตามคือ 1508 จุด
สำหรับการ SCAN หุ้นเทคนิคดีพบว่า หุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ IVL, PTTGC, CPF ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ CENTEL, JMART, TACC หุ้นที่หลุด List คือ ASIMAR และหุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take profit ได้แก่ STEC, ASK, MCOT, TIPCO, ILINK, SMPC
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรก.ค.59 เพิ่มเกินคาดที่ 2.55 แสนตำแหน่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 255,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค.59 (ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.8 แสนตำแหน่ง) หลังจากทะยานขึ้น 287,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.59 ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.9% และกระทรวงแรงงานได้ทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนพ.ค.59 เป็นเพิ่มขึ้น 24,000 ตำแหน่ง จากที่มีการรายงานก่อนหน้านี้ว่าเพิ่มขึ้น 11,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนมิ.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 292,000 ตำแหน่งจากที่มีการรายงานก่อนหน้านี้ว่าเพิ่มขึ้น 287,000 ตำแหน่ง
/+ สหรัฐ : เดือนมิ.ย.ขาดดุลเพิ่มขึ้น
ตัวเลขการขาดดุลการค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้น 8.7% ในเดือนมิ.ย. สู่ระดับ 4.45 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากอุปสงค์สินค้านำเข้าปรับตัวสูงขึ้น
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับขึ้นประมาณ 1%
ดัชนี DJIA วันศุกร์ปิด +191.48 จุด หรือ +1.04% ดัชนี S&P500 +18.62 จุด หรือ +0.86% ดัชนี NASDAQ +54.87 จุด หรือ +1.06% ปัจจัยหนุน คือ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.ที่เพิ่มขึ้นดีเกินคาด
ราคาน้ำมันดิบ : อ่อนลงเล็กน้อย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 13 เซนต์ หรือ 0.31% ปิดที่ 41.80 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT อ่อนลง 2 เซนต์ ปิดที่ 44.27 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้เบเกอร์ ฮิวจ์ รายงานเมื่อวันศุกร์ว่าจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่เปิดใช้งานในสหรัฐเพิ่มขึ้น 7 แห่ง เป็น 381 แห่ง ซึ่งปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 6 แล้ว อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบไม่ได้ลดลงมากเพราะตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.ของสหรัฐออกมาสดใสกว่าคาด
- ราคาทองคำ : ร่วงแรงหลังดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 23 ดอลลาร์ หรือ -1.68% ปิดที่ระดับ 1,344.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยที่กดดัน คือ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐหลังตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐออกมาแข็งแกร่งเกินคาด
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
ผลประชามติ (นับคะแนน 94%) : รับร่างรัฐธรรมนูญ 61.57% รับคำถามพ่วง 58.28%
ผลการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญของไทยเมื่อ 7 ส.ค.59 ออกมาแล้วราว 94% (เวลา 20.00 น.) พบว่าคะแนนเสียงรับร่างรัฐธรรมนูญอยู่ที่ 61.57% และไม่รับร่างฯ 38.43% ส่วนคะแนนเสียงรับคำถามพ่วงมี 58.28% และไม่รับ 41.72% ทั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิราว 55% จำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 50,585,118 คน ของที่มาออกเสียงทั้งหมด และหลังจากมีประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญแล้วจะเข้าสู่กระบวนการนำคำถามพ่วงไปแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องแล้วให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯร่างรัฐธรรมนูญให้ในหลวงทรงลงพระปรมาภิไธย หลังจากนั้นกรธ.ต้องจัดทำร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับแล้วให้สนช.พิจารณา เมื่อแล้วเสร็จก็จัดการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปลายปี 2560 หรืออย่างช้าต้นปี 2561
ในระยะสั้นคาดว่าตลาดหุ้นจะตอบรับผลการทำประชามติไปในทางบวกจากการที่จะมีการเลือกตั้งตามแผนที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ ขณะเดียวกันภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก/ติดลบ สภาพคล่องจาก QE ประเทศใหญ่ๆ และสหรัฐยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็ว (แม้ว่าตัวเลขภาคแรงงานจะออกมาแข็งแกร่งเกินคาดแต่เศรษฐกิจโดยรวมก็มีความเปราะบางมาก) ยังเป็นปัจจัยหนุนให้ Fund flow เข้ามายังตลาดหุ้นในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนใหม่ต้องใช้ความระวังให้มากขึ้น เพราะราคาหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในโซนแพง สำหรับหุ้นพื้นฐานดีที่ทาง DBSV ยังมีคำแนะนำซื้อ/ถือ และราคาตามปัจจัยพื้นฐานยังมี Upside เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน ประกอบด้วย กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : BBL, TMB กลุ่มค้าปลีก : CPALL, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : EPG, SCC, กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง : CK, กลุ่มพลังงาน : BCP, PTT กลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ : KCE กลุ่มไฟแนนซ์ : AEONTS, GL กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม :
CPF, MINT, TKN, TU กลุ่มสื่อสาร & สื่อ : WORK กลุ่มปิโตรเคมี : IVL, PTTGC กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ : ANAN, AP, CPN, LH, SC, WHA กลุ่มเหล็ก : TMT กลุ่มขนส่ง : AOT กลุ่มอื่นๆ : GFPT (ดูรายละเอียดได้ใน Hot Issue วันนี้)
+ PTTGC (ราคาปิด 61 บาท) : กำไรจากสต็อกช่วยหนุนผลประกอบการ 2Q59
ฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์กำไร 2Q59 ของ PTTGC ไว้ที่ 4.8 พันล้านบาท (+1.9%QoQ) แต่ลดลง 47%YoY เพราะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานในแผนและนอกแผน โดยกำไรจากสต็อก 2.2 พันล้านบาทช่วยหนุนผลประกอบการไตรมาสนี้ ทั้งนี้การปิดซ่อมนอกแผนทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตโอเลฟินส์ลดลงเป็น 85% ใน 2Q59 จากเป้าหมาย 95% แต่ก็ดีขึ้นจาก 81% ใน 1Q59 (ที่มีการปิดซ่อมบำรุงในแผน 39 วัน) แต่ส่วนหนึ่งได้รับการชดเชยจาก EBITDA margin ที่เพิ่มเป็น 23% จาก 20% ใน 1Q59 เพราะมีวัตถุดิบจาก PTT ที่เพียงพอและราคา PP เพิ่มขึ้น ส่วนการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในแผนทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตโรงกลั่นลดลงเป็น 35% ใน 2Q59 จาก 93% ใน 1Q59 ด้าน GRM คาดการณ์ว่าจะลดลงเป็น 4.0 จาก 4.8 ดอลลาร์/บาร์เรลใน 1Q59 แต่ธุรกิจโรงกลั่นมีกำไรจากสต็อกเข้ามาช่วย 1.1 พันล้านบาทใน 2Q59 สำหรับ Core profit ใน 2Q59 คาดว่าจะ -67%YoY และ -38%QoQ สำหรับโครงการลงทุนยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งรวมถึงโครงการ "Map Tha Put Retrofit" (MTPR) เพื่อใช้แนฟทาภายในไปสร้างมูลค่าเพิ่มในสายโอเลฟินส์แทนที่จะขายออกไป คาดว่าโครงการนี้จะสรุปได้ภายในสิ้นปี 59 ส่วนการตัดสินใจลงทุนในโครงการ US shale gas เลื่อนออกไปเป็นปี 60 เพราะต้องศึกษาอย่างรอบคอบ แนะนำซื้อลงทุน โดยคาดการณ์ว่า Core Profit ใน 2H59 จะสูงกว่า 1H59 เพราะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานและโรงกลั่นในแผนและนอกแผน ทาง DBSV ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 70 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]