- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 02 August 2016 18:47
- Hits: 1862
บล.บัวหลวง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
สลับตัวยิงแถวสองขึ้นเล่นแทนกองหน้าที่บาดเจ็บ
วันนี้คาดดัชนีฯ ปรับฐานต่อ แนวรับ 1,500 จุด แนวต้าน 1,520 จุด คาดกลุ่มพลังงานต้นน้ำ PTTEP BANPU ฉุดดัชนี ลงตามราคาน้ำมันดิบ คาดหุ้นซิ่ง กลาง-เล็ก ขึ้นสวนดัชนีฯ
สัปดาห์นี้คาดแนวรับดัชนีฯ 1,517/1,510 จุด (สำหรับนักเล่นรอบควรมี Stop loss ถ้าปิดต่ำกว่า 1,510 จุด) แนวต้าน 1,535/1,540 จุด กลยุทธ์แนะทยอยลดพอร์ตหุ้นที่ขึ้นแรง หันมาซื้อหุ้น Save haven/หุ้นที่ยังไม่ขึ้นแทน
แนวโน้มรายเดือน คาดครึ่งแรกของเดือน สค.จะซิ๊กแซกขึ้นทดสอบ 1,550 จุด ก่อนจะปรับฐานตามมา 3-5% ปัจจัยลบ คือ ดัชนีฯหุ้นไทยเข้าโซน PE +2SD (กำไรวิ่งตามราคาหุ้นไม่ทัน) ขณะที่ความไม่แน่นอนจากผลลงประชามติร่าง รธน. และ การรอดูท่าที FED ในงาน Economic symposium ที่ Jackson Hole 25-27 สค.นี้ รวมถึงรอดู BOJ ทำ “Comprehensive verification” ชะลอเพิ่ม QE เพื่อรอประเมินผล QE ที่ออกไปก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ฝรั่งชะลอแรงซื้อ บวกกับเข้าสู่ฤดูพักร้อนของกองทุนต่างประเทศ ส่วน MSCI รอบนี้ (กลางเดือน สค.) จับตาหุ้นมีโอกาสถูกเพิ่มเข้าคำนวณ เช่น BJC TASCO พิจารณาจากปริมาณการซื้อขาย และมูลค่าตลาดที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
หุ้นแนะนำวันนี้ MILL แนวรับ 1.28 ต้าน 1.35/1.40 บ. คาดกำไร 2Q16 จะเติบโตก้าวกระโดด โดย 1Q16 มีกำไรสุทธิ 377 ล้านบาท (Vs. เมื่อเร็วๆนี้ TSTH เพิ่งรายงานกำไร 1QFY17 โตเกือบ 2,000% y-y)
MS ออกรายงานกลยุทธ์ แนะลดพอร์ตหุ้นไทย รับความไม่แน่นอนจากผลการลงประชามติฯ โดยอิงจากพื้นฐานที่หุ้นไทยแรลรี่ขึ้นมารอบนี้ จน PE เทรดสูงกว่าค่าเฉลี่ย 3-5 ปี ราว 17-24% แล้ว และมองว่ากำไร บจ. 2Q16 ที่จะออกมารอบนี้ มีโอกาสต่ำกว่าคาด ทำให้มี Earning risk ในปี 2016-17 ราว 3-6% / มุมมองนี้สอดคล้องกับ BLS โดยเรามองว่ามีโอกาสที่ดัชนีฯจะปรับฐานราว 3-5% ในรอบนี้ และแนะนำลดพอร์ต เพื่อไปรอซื้อคืนเมื่อปรับฐานเสร็จ
รายงานพื้นฐาน BLS วันนี้
(+) BLA เราประเมินกำไรในไตรมาส 2/59 อยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท พลิกลับมาจากขาดทุน 6.9 พันล้านบาทในไตรมาส 1/59 และปรับตัวเพิ่มขึ้นจากกำไร 1.8 พันล้านบาทในไตรมาส 2/58 การปรับตัวที่ดีขึ้นมาจากการกลับรายการหลัง Bond Yield มีการฟื้นตัว เราคาด ROI ในไตรมาส 2/59 อยู่ที่ 4.7% ทรงตัวจากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว จาก Bond Yield ที่มีโอกาสปรับตัวขึ้น เนื่องจากโอกาสการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในปี 2560 เรามองว่า มีโอกาสของการปรับประมาณการกำไรของ BLA ในช่วงครึ่งปีหลัง และประมาณการกำไรปี 2560 อีกทั้งเรายังมองว่าการที่บริษัทเริ่มมีการปรับเปลี่ยนจากสินค้าที่เป็น Long-term ไป Medium-to-long term และ Whole-life จะช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี และยอดขายที่ปรับตัวดีขึ้น เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ
(0) JASIF รายงานกำไร 1.27 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.6% YoY และ 2.6% QoQ เป็นไปตามคาด เราคงประมาณการกำไรปี 2016-17 ที่ 5.0 และ 5.5 พันล้านบาท เราคงคำแนะนำ ซื้อ โดย roll over ไปเป็นปี 2017 ได้ราคาเป้าหมาย 13 บาท ปัจจุบันเทรดบน dividend yield ในปี 2016-17 ที่ 7.81 และ 8.44% ตามลำดับ
(+) PTT คาดราคาหุ้นจะไปต่อได้โดยมีปัจจัยหนุนจาก ต้นทุนแก๊สที่จะลดลงไปเรื่อยๆจนถึงไตรมาส 4 และโอกาสที่กองทุนน้ำมันจะเข้ามาชดเชยราคาแก๊สซึ่งจะช่วยหนุนให้กำไรเพิ่มขึ้นอีกปีละ 3-4 พันล้านบาท (เพิ่มราว 5%) สำหรับ 2Q16 เราคาดกำไร 27,000 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5.5%QoQ, flat YoY) และคาด 3Q16 กำไรหลักจะดีขึ้นอีกจากต้นทุนแก๊สที่ลดลง เราปรับกำไรปี 2016 ขึ้น 6% เป็น 92,100 และปี 2017 ขึ้น 5% เป็น 101,722 ล้านบาท จากต้นทุนแก๊สที่ต่ำกว่าคาด และราคาน้ำมันปรับขึ้นตาม MS เราเชื่อว่าจะเห็นตลาดปรับกำไรขึ้นตามเรา และ valuation ของหุ้นปัจจุบันเทรดบน PBV ให้ส่วนลดจากค่าเฉลี่ยในอดีต 0.7SD ซึ่งเรามองว่ากำไรที่กลับเป็นปกติราวปีละ 1 แสนล้านบาท ราคาหุ้นควรเทรดบน valuation เท่าค่าเฉลี่ยในอดีต เราปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป้น 355 บาท คงคำแนะนำ ซื้อ
(-) STANLY รายงานกำไร 1Q17 (Apr-Jun 2016) ที่ 243 พันล้านบาท ลดลง 38% YoY และ 42% QoQ ต่ำกว่าเราและตลาดตาด 14% เพราะอัตรากำไรขั้นต้นน้อยกว่าคาด แนวโน้ม 2Q17 (Jul-Sep 2016) คาดกำไรอ่อนตัวลง 30% YoY เพราะปีที่แล้วมีกำไรพิเศษราว 250 ล้านบาท เราคงคาดการณ์กำไร และคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 208 บาท เพราะเราเชื่อว่าอุตสาหกรรมยานยนต์อยู่ในช่วงฟื้นตัว
(-) PSL รายงานขาดทุนไตรมาส 2/59 ที่ 475ล้านบาท ขาดทุนมากขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ ถ้าไม่รวมรายการพิเศษ ขาดทุนหลักจะอยู่ที่ 338 ล้านบาท ขาดทุนน้อยลงทั้ง YoY และ QoQ ขาดทุนน้อยกว่าที่เราคาดจาก freight rate ที่สูงกว่าคาด แม้ขาดทุนหลักจะน้อยกว่าคาด แต่ BDI ในไตรมาส 3/59 จนถึงปัจจุบันลดลง 27% YoY เนื่องจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวในขณะที่อุปทานล้นตลาด เรามีการปรับประมาณการขาดทุนปี 2559 มากกว่าเดิมไปอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท จากการปรับอัตรากำไรขั้นต้น -20% และค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2/59 เรามองว่าราคาหุ้นที่ขึ้นมารับการปรับตัวของ BDI แต่ freight rates ยังคงต่ำกว่าจุดคุ้มทุนของบริษัท เรา ยังคงคำแนะนำ ขาย
(-) BA เราคาดกำไรในไตรมาส 2/59 อยู่ที่ 96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% YoY แต่ลดลง 94% QoQ เนื่องมาจากค่าใช้จ่ายทางภาษีก้อนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งมีคำตัดสินเอื้อกรมสรรพากรสำหรับกรณีการคำนวณภาษีบีโอไอ (447 ล้านบาท) ที่จะมีการบันทึกเข้ามาในไตรมาส 2/59 นี้ อย่างไรก็ตามตัวกำไรหลักยังถือว่ายังแข็งแกร่งโดยคาดอยู่ที่ 503 ล้านบาท พลิกกลับจากขาดทุนในปีที่แล้ว แต่ลดลง 66% QoQ เราคิดว่าราคาหุ้นคงสะท้อนประเด็นค่าใช้จ่ายทางภาษีดังกล่าวแล้ว และถ้าดูตัวผลประกอบการหลักจะมีตัวขับเคลื่อนจากปัจจัยด้านฤดูกาลในไตรมาส 3/59, การเติบโตของผู้โดยสาร (+12% YoY) และ ราคาน้ำมั้นเครื่องบินที่ต่ำ (-43% YoY) นอกจากนั้นคาด BA มีอัตราการเติบโตของกำไรหลักเฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่ 36% เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ
(-) DCC รายงานกำไร 2Q16 ที่ 359 ล้านบาท, ลดลง 2% YoY และ 18% QoQ ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาดราว 8% เพราะยอดขายไม่เป็นไปตามคาด ส่งผลให้สัดส่วน SG&A/Sales สูงขึ้น กำไร 1H16 คิดเป็น 53% ของประมาณการกำไรทั้งปี พร้อมกันนี้บริษัทประกาศจ่ายปันผล 0.04125 บาท/หุ้น (XD 5/8; จ่าย 18/8) แนวโน้ม 3Q16 แม้กำไรมีโอกาสเพิ่มขึ้น YoY จากฐานต่าในปีที่แล้ว เรามองว่าจะยังไม่น่าสนใจเพราะเป็น low season คาดกำไรลดลง QoQ คงคำแนะนำ ถือ
หุ้นมีประเด็น
(-) FSMART สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้ยกเลิกสิทธิ์ขายตั๋วบอลฯ ที่ให้กับทาง FSMART แล้ว เพราะเมื่อวานการจำหน่ายตั๋วซึ่งเป็นครั้งแรกที่ให้ FSMART ดำเนินการ เกิดระบบล่ม ทางสมาคมเห็นว่าคู่สัญญายังขาดศักยภาพจึงยกเลิกสัญญาฯ (ที่มา อินโฟเควส) / เราคงคำแนะนำ ขาย ราคาเหมาะสม 12 บาท (เต็มมูลค่า)
(+) MS จัดงาน Thai Corporate Day ที่ Hong Kong และ Singapore เราพบว่ากองทุนต่างชาติ มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้น โดยมีนักลงทุนมาร่วมประชุมกับเรามากกว่าเมื่อปีที่แล้ว 15% บริษัทส่วนใหญ่ที่เราพาไปให้ guidance ที่เป็นเชิงบวกมากขึ้น (bullish) กว่าปีที่แล้ว โดยบริษัทที่ให้ guidance สูงกว่าที่ analyst ทำประมาณการได้แก่ AAV IVL PS TOP (ที่มา BLS research)
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
(-) ตลาดหุ้นจีนเตรียมเปิดทำการซื้อขายหุ้นถูกปลดล็อก มูลค่ากว่า 1.7 พันล้านหยวน (ประมาณ 2.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเสิ่นเจิ้น โดยมูลค่าการซื้อขายดังกล่าว ต่ำกว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วถึง 2.16 หมื่นล้านหยวน ตามกฎเกณฑ์ของตลาดจีนนั้น ผู้ถือหุ้นที่ถูกแช่แข็งจะต้องล็อกหุ้นของตนเองไว้เป็นเวลา 1-2 ปี ก่อนที่จะได้รับการอนุมัติให้ซื้อขายในตลาดได้ (ที่มา อินโฟเควส)
(-) คาดปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับฐาน จะมาจาก ความไม่แน่นอนจากผลลงประชามติฯ โดยเรามองว่าแม้จะมีข่าวดี กรณีรับร่างฯ ตามโพลคนรับร่างฯล่าสุด ยังคงทิ้งห่างคนไม่รับฯ แต่เราเชื่อว่า Upside ดัชนีจะเริ่มจำกัดเมื่อเข้าใกล้บริเวณ 1,550 จุด ซึ่งเทียบเป็น PE +2SD และ ดัชนีฯไม่เคยผ่านจุดนี้ไปได้ไกล โดยเราคงคาดว่าหุ้น Low beta/หุ้น Cheap value จะเป็นกลุ่มที่ Outperform ตลาดจากนี้ไป เพราะกองทุนในและต่างประเทศมีโอกาสจะหมุนเงินมาพักในกลุ่มดังกล่าว เพื่อลดความเสี่ยงจากการปรับฐานของดัชนีฯ โดยมองการปรับฐานรอบนี้ไม่หลุด 1,500/1,470 จุด (คิดเป็น 3-5% จากระดับ 1,550 จุด) และ ลงมาจะเป็นโอกาสในการเลือกซื้อหุ้นรอบใหม่ (ที่มา BLS Research)
(-) เมื่อวานจันทร์ US ISM ภาคการผลิต (เดือน กค.) ลดลงเหลือ 52.6 ต่ำกว่าคาดที่ 53 จาก 53.2, EU PMI ภาคการผลิต 52 ตามคาดที่ 51.9 และ จีนรายงาน PMI 49.9 ต่ำคาดเล็กน้อยที่ 50 (ที่มา Bloomberg)
(0) อังคาร US PCE index คาด 0.20% คงที่, ประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย คาดลดดอกเบี้ยลงเหลือ 1.50% จาก 1.75% (ที่มา Bloomberg)
(0) พุธ ประชุม กนง. คาดคงดอกเบี้ย 1.50%, รายงานการประชุมธนาคารกลาง ญี่ปุ่น, US ISM ภาคบริการคาด 56 จาก 56.5, EU area PMI composite คาด 52.9 คงที่(ที่มา Bloomberg)
(+) พฤหัส US initial jobless claim, ประชุม ธนาคารกลางอังกฤษ คาด ลดดอกเบี้ย ลงเหลือ 0.25% จาก 0.50% และคงวงเงิน QE ที่ 3.75 แสนล้านปอนด์(ที่มา Bloomberg)
(-) ศุกร์ US Nonfarm payrolls (กค.) คาด 1.8 แสนราย ลดลงจาก 2.87 แสนราย, US unemployment คาด 4.8% จาก 4.9%, มาเลเซีย ส่งออกเดือน มิย.คาด -3% จาก -0.9% (ที่มา Bloomberg)
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค