- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 01 August 2016 17:45
- Hits: 1233
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
คาด SET ยังผันผวนต่อ ดังนั้นเน้นรอทยอยซื้อช่วงลบต่อไปดีกว่า...
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ขยับบวกต่อเนื่องได้ในช่วงแรกของการซื้อขาย แต่เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกใหม่หนุน และตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่เริ่มปรับย้อนลบ หลังผลประชุม BOJ ออกมาไม่ดีเท่าที่นักลงทุนคาดหวัง รวมทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็ยังอ่อนแออยู่ ทำให้ช่วงบ่าย SET เน้นหนักทางด้านแกว่งตัวลบ แต่ไม่รุนแรงนัก
แนวโน้มตลาดวันนี้ : คาดว่า SET ยังมีสิทธิถูกกดดันต่อเนื่อง หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวด้านลบอีก เนื่องจากตัวเลข GDP ของสหรัฐในไตรมาส 2 ขยายตัวต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ตามกรอบลบอาจจะไม่รุนแรงนัก เพราะตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ยังปิดบวก จากผล Stress Test ของภาคธนาคารในยูโรโซนที่ส่วนใหญ่ยังแข็งแกร่งเพียงพอที่จะสามารถต้านทานการทรุดตัวของเศรษฐกิจและการผันผวนในตลาดการเงินได้ นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเริ่มแกว่งทรงตัวได้ดีขึ้นแถว 41 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากก่อนหน้านี้ปรับตัวลงมาจากแถว 46.7-47 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงกลางเดือนก่อน ทำให้ SET ยังมีลุ้นแกว่งทรงตัวในระยะสั้นได้เช่นกัน
กลยุทธ์ : อย่างไรก็ตาม FSS ยังแนะนำให้ระวังแรงขายกดดัน SET ให้แกว่งตัวลบต่อ ดังนั้นไม่แนะนำให้ซื้อไล่ราคาช่วงบวกโดยน่ารอเลือกหุ้นทยอยซื้อช่วงลบดีกว่า แต่ถ้าขายลดพอร์ตไปมากแล้ว จะเลือกชะลอการขายลงบ้างก็ได้
แนวรับ 1522-1518 , 1515-1513 จุด
แนวต้าน 1527-1530 , 1536-1542 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : THCOM, CHEWA, BEAUTY(short)
Fund Flow เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$316ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$210ล้าน อินโดนีเซีย US$121ล้าน และไทย US$18ล้าน ขณะที่ไหลออกไต้หวัน US$36ล้าน และฟิลิปปินส์ US$0.9ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าภูมิภาคแต่อาจชะลอลงหลังตลาดค่อนข้างผิดหวังต่อมติ BOJ ซึ่งไม่ได้เพิ่มวงเงิน QE หรือลดอัตราดอกเบี้ยอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(+) แม้ผิดหวังจาก BOJ แต่สภาพคล่องโลกยังมีอยู่มาก แม้ตลาดจะผิดหวังกับ BOJ ที่ไม่ได้ลดดอกเบี้ยและขยายวงเงิน QE (ยังอยู่ที่ 80 ล้านล้านเยน) มีเพียงการเพิ่มวงเงินซื้อกองทุน ETF เป็น 6 ล้านล้านเยน จากปัจจุบัน 3.3 ล้านล้านเยน และอาจผิดหวังกับ GDP 2Q16 ของสหรัฐที่ +1.2% (annualized) แต่ตลาดคาด +2.6% และ revise ตัวเลขใน 1Q16 เหลือ +0.8% จากเดิม +1.1% แต่สภาพคล่องในโลกที่ยังมีอยู่มาก และคาดหวัง QE จาก BOE, ECB ได้ทั้งปี ยังเป็นปัจจัยผลักดันตลาดหุ้น
(0) ผล Stress Test ธนาคารยุโรปไม่น่าตกใจนัก โดยรวมถือว่าดีขึ้นกว่าการทดสอบ 2 ครั้งก่อน โดย Tier 1 สิ้นปี 2015 อยู่ที่เฉลี่ย 13.2% สูงกว่าการเทสต์ครั้งก่อนๆ และหลังเทสต์ครั้งนี้ Tier 1 จะถูกกระทบเฉลี่ย 380bps ทำให้ลดลงเหลือ 9.4% ภายในปี 2018 เพียงแต่ที่น่าเป็นห่วงคือ NPL ที่สูงถึง 1 ล้านล้านยูโร หลังจากนี้แบงก์ที่มีปัญหาจะทยอยประกาศแผนเพิ่มทุน อาจทำให้ Flow ชะลอแต่เป็นเหตุการณ์ชั่วคราวเท่านั้น
(0) ธปท.เผยเศรษฐกิจไทยเดือน มิ.ย. ชะลอเล็กน้อยจากเดือนก่อน แต่ชั่วคราวเพราะนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียและอินโดนีเซียเข้าสู่เทศกาลศีลอด ส่วนการบริโภคชะลอเล็กน้อยตามยอดขายรถยนต์ที่เร่งตัวไปมากในเดือนก่อนที่มีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ส่วนส่งออกยังคงเป็นตัวฉุด เราคาด GDP 2Q16 เติบโต 3.2-3.3% Y-Y ดีไม่แพ้ 1Q16 ที่โต 3.2% Y-Y ส่วน 2H16 จะมีการลงทุนเข้ามาเสริมทำให้ทั้งปี +3.2% Y-Y
(+) แนวโน้มตลาดเดือน ส.ค. ตลาดหุ้นอาจเผชิญแรงขายในสัปดาห์แรกเพื่อลดความเสี่ยงจากประชามติรับ/ไม่รับร่างรธน. 7 ส.ค. ที่ไม่สามารถคาดเดาผลได้ แต่เรายังเชื่อว่าไม่ว่าผลโหวตจะเป็นเช่นไร ไม่ทำให้การเลือกตั้ง ก.ค. ปีหน้าตามโรดแมพของนายกฯเลื่อนออกไปอย่างมีนัยสำคัญ (เลื่อนไม่กี่เดือนเป็นไปได้) หากผลโหวตไม่รับร่างฯ ตลาดหุ้นอาจปรับฐานในกรอบ 1,480-1,500 จุด แต่หากรับร่างฯ น่าจะเห็นดัชนีแตะ 1,600 จุดก่อนสิ้นปี จากอดีตที่ผ่านมาตลาดหุ้นจะปรับขึ้นก่อนเลือกตั้งยาวนานถึง 6-7 เดือน เราปรับ SET Target สิ้นปีนี้เป็น 1,650 จุดจาก 1,500 จุดจากการปรับกำไรขึ้นและ Flow ที่มีทิศทางไหลเข้าต่อ หุ้นแนะนำเดือนนี้มี AAV, BEM, CK, SCB, TACC
(+) BJC เราปรับราคาพื้นฐานปีหน้าเพิ่มเป็น 54 บาทจาก 42 บาท เพราะต้นทุนซื้อ BIGC ถูกอย่างน่าเซอร์ไพร้ส์คือ 3.2% จากที่คาด 4-5% เราปรับกำไรสุทธิปี 2016-17 ขึ้นเฉลี่ย 28% ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะบันทึกภายในปีนี้ ก้อนใหญ่จะอยู่ใน 2Q16 ซึ่งทำให้กำไร -9.5% Q-Q, -36% Y-Y เราคาดกำไรปีหน้า +157% Y-Y เพราะรวม BIGC 98% เต็มปี ส่วนฃปีนี้น่าจะยังเห็นการเติบโต 43% Y-Y ปรับคำแนะนำขึ้นเป็นซื้อ จากเดิมถือ
(+) SCC เราปรับกำไรสุทธิปี 2016-17 ขึ้น 7% และ 11% ตามลำดับ จากธุรกิจปิโตรเคมีภัณฑ์ที่แกร่งกว่าคาด แม้แนวโน้มกำไร 2H16 ชะลอเพราะมีหยุดซ่อมบำรุง แต่คาดกำไรทั้งปี +10% Y-Y ส่วนปีหน้า +0.3% Y-Y ปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 600 บาทจาก 550 บาท ยังคงแนะนำซื้อ
(+) กลุ่มพลังงานทดแทน ศุกร์นี้กกพ.จะประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติไฟฟ้าชีวมวลภาคใต้ 36MW จับตาผู้เข้าร่วมซึ่งมีจำนวนมากเช่น TPCH, PSTC, FER, ECF, GUNKUL
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
1 ส.ค. - ไทย: อัตราเงินเฟ้อ (ก.ค.), ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (ก.ค.)
- จีน: Manufacturing PMI (ก.ค.)
2 ส.ค. - ไทย: ครม.พิจารณามาตรการสินเชื่อประชารัฐเพื่อผู้มีรายได้น้อย, บอร์ดรฟม.ประชุมแก้สัญญารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน
- ออสเตรเลีย: ธนาคารกลางประชุม
3 ส.ค. - ไทย: กนง.ประชุม (ตลาดคาดคงดอกเบี้ยที่ 1.5%)
- จีน: Caixin China PMI Composite (ก.ค.)
- สหรัฐ: การจ้างงานภาคเอกชน (ก.ค.)
- ยูโรโซน: Markit Eurozone Manufacturing PMI (ก.ค.)
4 ส.ค. - ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ก.ค.)
5 ส.ค. - ไทย: กกพ.ประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติไฟฟ้าชีวมวลภาคใต้
- อินโดนีเซีย: 2Q16 GDP
- สหรัฐ: การจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราว่างงาน (ก.ค.)
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนวันศุกร์ (DJI) ปิดลบเล็กน้อย หลังตัวเลข GDP 2Q16 สหรัฐฯขยายตัวเพียง 1.2% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 2.6%
(+) ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ขยับขึ้นก่อนการประกาศผล Stress test
(+) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เปิดค่อนไปทางบวก หลัง ECB ระบุธนาคารส่วนใหญ่ยังมีความแข็งแกร่งแม้เศรษฐกิจทรุดตัว
(0) ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดเคลื่อนไหวแถว 34.76-34.79 บาท/ดอลลาร์
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ย. ปิดบวก 0.46 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 41.60 ดอลลาร์/บาร์เรล ขยับบวกครั้งแรกในรอบ 7 วัน โดยได้แรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 16.30 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,357.50 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยหลังตัวเลข GDP สหรัฐฯอ่อนแอกว่าคาด รวมทั้งค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่ายังเป็นอีกปัจจัยหนุนราคาทอง
Contact person : Somchai Anektaweepon
Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852
www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch