- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 22 July 2016 18:55
- Hits: 2754
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'พักฐานแต่ไม่หลุด 1480 ยังมีลุ้นไปต่อ'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้มีการขายทำกำไรทำให้ SET Index ปิด -7.33 จุดที่ 1502.70 จุด แต่นักลงทุนต่างชาติยังคงนำซื้อสุทธิต่อ 2.7 พันล้านบาท ขณะที่สถาบันในประเทศนำขายสุทธิ 2.4 พันล้านบาท สำหรับตลาดเอเชียเช้าวันนี้ มีการพักฐานหลังปรับขึ้นมาหลายวันแต่ไม่ได้ลงแรง
นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายมากขึ้นหลัง SET Index ปรับขึ้นมาแล้ว 18%YTD รวมทั้งรอดูผลการประชุม FED และ BOJ กลางและปลายสัปดาห์หน้าด้วย ส่วนผลประชุม ECB ที่ออกมาเมื่อวานนี้ว่าคงดอกเบี้ย -0.4% และระดับ QE ที่ 8 หมื่นล้านยูโร/เดือนนั้นเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เราประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐจะยังไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายในการประชุมรอบนี้ แต่อาจให้ Guidance เกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยในลักษณะว่าไม่เร่งรีบ ส่วน BOJ มีโอกาสที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมมากที่สุดแต่ถ้ายังไม่มีในรอบนี้และส่งสัญญาณว่าอาจจะมีในรอบหน้าก็จะไม่กระทบตลาด ปัจจัยที่มีน้ำหนักมากขึ้นช่วงนี้เป็นเรื่องรายงานผลประกอบการ 2Q59 ซึ่งกลุ่มแบงค์ของไทยออกมาแล้วพบว่าอ่อนลง YoY ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม Valuation ของหุ้นแบงค์ไทยต่ำมาก (P/BV ปี 59 อยู่ที่ Mean-2SD) ในทางกลยุทธ์มองว่าน่าสนใจซื้อสะสมเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว หุ้น Top Picks เป็น KBANK และ TCAP หุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำซื้อสะสมจังหวะราคาอ่อนตัววันนี้เป็น TCAP
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ ควรระวังการแกว่งจากแรงขายทำกำไรต่อจากวานนี้ การซื้อใหม่จึงเน้นตามด้วยค่าบวกแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1510-1520, 1530 จุด ค่าลบดูไม่ค่อยดี ต่ำกว่าแนวฟิวเตอร์ 1480 จุดควรตัดขายออกไปก่อนการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ THCOM, EA, BH, CHOW หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือTU, CPN, BCH, TVO, CPF, JASIF, KAMART หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ TVT หุ้นหลุด List เป็น HMPRO, BTS, AP, CKP
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
• สหภาพยุโรป – ECB คงดอกเบี้ยและวงเงิน QE ตามคาดในการประชุม 21 ก.ค.59ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จัดการประชุมนโยบายการเงินวานนี้ (21 ก.ค.59) ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของ ECB หลัง UKทำประชามติ Brexit เมื่อ 23 มิ.ย.59 โดยที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ-0.4% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ 0.25% ขณะเดียวกันได้คงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโร/เดือนด้วย (มาตรการจะสิ้นสุดมี.ค.60)ประธาน ECB กล่าวว่ามีความเชื่อว่าตลาดการเงินจะสามารถปรับตัวได้และฝ่าฟันความไม่แน่นอนหลังมี Brexit ได้ แต่เห็นว่า Brexit เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในยูโรโซน และทำให้ประเทศเกิดใหม่ปรับโครงสร้างได้ล่าช้าลง
• อังกฤษ - ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.59 ลด 0.9%MoM แต่เพิ่ม 4.3%YoY (แต่รวบรวมก่อนมี Brexit)สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษเปิดเผยว่ายอดค้าปลีกของอังกฤษในเดือนมิ.ย.ปรับตัวลง 0.9%MoM เนื่องจากสภาพอากาศที่ย่ำแย่ส่งผลกระทบต่อยอดขายของร้านเสื้อผ้าและซูเปอร์มาร์เก็ต แต่เมื่อเทียบ YoY พบว่ายังเพิ่มขึ้น 4.3%อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้รวบรวมก่อนมี Brexit
- ญี่ปุ่น – ยอดขายห้างสรรพสินค้ามิ.ย. -0.5%YoYยอดขายของห้างสรรพสินค้าในประเทศญี่ปุ่นเดือนมิ.ย. -0.5%YoY ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เนื่องจากความต้องการสินค้าที่ใช้ในครัวเรือนและเสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อนซบเซาลง โดยยอดขายเสื้อผ้าและของใช้ในครัวเรือนลดลง แต่ยอดขายอาหาร ผลผลิตการเกษตรและปศุสัตว์เพิ่มขึ้น
- ตลาดหุ้นสหรัฐ – ปิดอ่อนลงจากแรงขายทำกำไร/ผิดหวังผลประกอบการบางบริษัทดัชนี DJIA ปิดที่ 18,517.23 จุด ลดลง 77.80 จุด หรือ -0.42% ดัชนี NASDAQ ลดลง 16.03 จุด หรือ -0.31% ดัชนีS&P500 ลดลง 7.85 จุด หรือ -0.36% เพราะนักลงทุนผิดหวังผลประกอบการบางบริษัท เช่น อินเทล, เซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ส เป็นต้น รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่อ่อนลงก็ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานลงด้วย ตลาดระวังการซื้อขายก่อนการประชุม FED 27ก.ค.นี้ และประชุม BOJ วันที่ 29 ก.ค.
• สหรัฐ/ญี่ปุ่น – คาด FED อาจส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ยและญี่ปุนมีมาตรการกระตุ้นเพิ่มในสัปดาห์หน้าผลสำรวจของนักวิเคราะห์บ่งชี้ถึงคาดการณ์ว่าที่ประชุมเฟดอาจส่งสัญญาณการชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันมีรายงานว่ารัฐบาลญี่ปุ่นกำลังเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินอย่างน้อย 20 ล้านล้านเยน เพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากภาวะเงินฝืด และป้องกันผลกระทบจากการที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
+/• สหรัฐ – ตัวเลขภาคแรงงาน & ที่พักอาศัยออกมาดีมีรายงานว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน โดยลดลง 1,000 ราย สู่ระดับ 253,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 16 ก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ด้านยอดขายบ้านมือสองในเดือนมิ.ย. + 1.1%MoM และ +3%YoY พุ่งสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 9 ปี โดยได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2556
- ราคาน้ำมันดิบ – อ่อนลงเพราะกังวลอุปทานล้นสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.ลดลง 1 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 44.75 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ลดลง97 เซนต์ หรือ 2.1% ปิดที่ 46.20 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ EIA รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ519.5 ล้านบาร์เรลแต่ก็เป็นระดับที่สูงมากของปีนี้
+ ราคาทองคำ – พุ่งขึ้นสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 11.7 ดอลลาร์ หรือ 0.89% ปิดที่ระดับ1,331.00 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• กลุ่มธนาคารพาณิชย์ – กำไรสุทธิ 2Q59 ส่วนใหญ่อ่อนลง y-o-y
# BBL (ราคาปิด 171.50 บาท) – กำไรสุทธิ 2Q59 เท่ากับ 7.2 พันล้านบาท (-11% y-o-y; -14% q-o-q) แย่กว่าคาด เนื่องจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยต่ำกว่าที่ประมาณการ สินเชื่อ +1.7% q-o-q และ +2%YTD ซึ่งมาจากการปล่อยสินเชื่อรายใหญ่คือ BJC ในเดือนพ.ค. ด้าน NPL เพิ่ม 10% q-o-q และ NPL ratio เพิ่มเป็น 3.1% ในสิ้นมิ.ย.59 จาก 2.9% ในสิ้นมี.ค.59 แต่ธนาคารตั้งสำรองฯใกล้เคียงกับ 1Q59 ทำให้ Coverage ratio ลดลงเป็น 165% ในสิ้น 2Q59 จาก 174% ในสิ้น 1Q59 อย่างไรก็ตาม มีโอกาสขายเงินลงทุนเพื่อรักษาระดับกำไรปีนี้ แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 202 บาท
# KBANK (ราคาปิด 182 บาท) - กำไรสุทธิ 2Q59 เท่ากับ 9.4 พันล้านบาท (-18% y-o-y; -2% q-o-q) เป็นไป
ตามคาด โดยค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ต่ำกว่าคาดไปชดเชยกับรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่น้อยกว่าคาดและการตั้งสำรอง
ค่าเผื่อฯที่มากกว่าประมาณการ กำไร 1H59 คิดเป็น 52% ของคาดการณ์ทั้งปี สินเชื่อสิ้นมิ.ย. +3.1% q-o-q และ
+3.4% YTD ส่วนหนึ่งมาจากการปล่อยสินเชื่อให้กับ BJC ในเดือนพ.ค.59 ด้าน NPL +7% q-o-q เป็น Bt56.7bn)
NPL ratio ขยับขึ้นเป็น 2.89% และมี Coverage ratio สิ้นมิ.ย.59 ที่ 136% แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 205 บาท
# KTB (ราคาปิด 16 บาท) - กำไรสุทธิ 2Q59 ของ KTB เท่ากับ 8.7 พันล้านบาท (+3% y-o-y; +15% q-o-q)
ดีกว่าที่เราและตลาดคาดไว้ถึง 17% เนื่องจาก NIM และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยแข็งแกร่งกว่าที่ประมาณการไว้
ด้านสินเชื่อหดตัวที่ -0.9% q-o-q; -3%YTD เพราะระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ NPL +23%YTD เป็น 94
พันล้านบาท NPL ratio เพิ่มเป็น 3.9% ในสิ้นมิ.ย.59 จาก 3.7% ในสิ้น 1Q59 แต่ตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูง 7.7 พันล้าน
บาท (1.56% ของสินเชื่อรวม) ทำให้ Coverage ratio เพิ่มเป็น 105% ในสิ้น 2Q59 จาก 103% ในสิ้น 1Q59 แนะนำ
ถือ ให้ราคาพื้นฐาน 18 บาท
# SCB (ราคาปิด 149.50 บาท) - กำไรสุทธิ 2Q59 เท่ากับ 12.8 พันล้านบาท (-3%YoY; +22%QoQ) ดีกว่าที่ตลาดและเราคาดการณ์ไว้ 9% และ 6% ตามลำดับ เนื่องจากมีการกลับรายการสำรองฯของ SCB Life มาเป็นรายได้ 4.3 พันล้านบาทและมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุนด้วย ด้าน NPL ratio เพิ่มเป็น 2.77% ในสิ้นมิ.ย.59แต่ธนาคารตั้งสำรองฯสูงในไตรมาสนี้ทำให้ Coverage ratio เพิ่มเป็น 130% แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 165 บาท
# TMB (ราคาปิด 2.26 บาท) - กำไรสุทธิ 2Q59 เท่ากับ 2.2 พันล้านบาท (-5%YoY; +3%QoQ) เป็นไปตามคาด โดยการตั้งสำรองค่าเผื่อฯที่สูงได้รับการชดเชยจาก NIM ที่เพิ่มขึ้น (จากการบริหารต้นทุนการเงินได้ดี) และค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ต่ำลงเพราะมีการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ธนาคารมีกำไรก่อนสำรองฯในเกณฑ์ดีที่ 4.5 พันล้านบาท (+8%YoY และ +1%QoQ) ด้าน NPL ratio ลดลงเป็น 2.87% ในสิ้น 2Q59 และมี Coverageratio สูงขึ้นสู่ระดับ 143% แนะนำถือ ราคาพื้นฐาน 2.80 บาท
# TISCO (ราคาปิด 50.25 บาท) - กำไรสุทธิ 2Q59 เท่ากับ 1.2 พันล้านบาท (+20%YoY; -4%QoQ) เป็นไปตามคาด โดยในปีนี้ธนาคารเน้นการเพิ่มความแข็งแกร่งของงบดุลแต่การตั้งสำรองค่าเผื่อฯปีนี้จะน้อยกว่าปี 58เพราะทำไปมากในปีก่อน ยังผลให้กำไรจะเติบโตได้ กำไร 1H59 คิดเป็น 49% ของประมาณการทั้งปี 59 แนะนำถือราคาพื้นฐาน 46 บาท
# TCAP (ราคาปิด 38.75 บาท) - กำไรสุทธิ 2Q59 เท่ากับ 1.5 พันล้านบาท (+5%YoY; +9%QoQ) เป็นไปตามคาด โดยการเติบโตมาจาก NIM ที่เพิ่มขึ้นและตั้งสำรองค่าเผื่อฯน้อยลง รวมทั้งอัตราภาษีจ่ายต่ำเพียง 4% (ณ สิ้นมิ.ย.59 ยังเหลือผลขาดทุนจากการชำระบัญชี SCIB เอาไปหักภาษีได้ 3.7 พันล้านบาทหากคำนวณด้วยอัตราภาษีจ่าย 20%) จุดเด่น คือ NPL ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องมาแล้ว 8 ไตรมาส งบดุลแข็งแกร่งขึ้น และ Coverage ratio เพิ่มเป็น 126% ในสิ้นมิ.ย.59 แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 42 บาท
• หัวหน้าคสช.ใช้ ม.44 แก้ปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายล่าช้าคสช.มีคำสั่งให้คณะกรรมการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ -ท่าพระ โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวต้องคำนึงถึงความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้บริการของประชาชน และให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ และเมื่อดำเนินการเสร็จแล้วให้เจรจาร่วมกันกับผู้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้าโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลให้ดำเนินการโครงการส่วนต่อขยายและดำเนินการให้มีการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลกับผู้รับสัมปทานดังกล่าว เพื่อให้สามารถเดินรถแบบต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเดียวกัน (Through Operation) โดยให้ดำเนินการเจรจาและแก้ไขสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]