- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 13 July 2016 17:38
- Hits: 1081
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เลือกซื้อตามค่าบวก/ถือเมื่อเหนือ 1450'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : TTCL (จากถือเป็นซื้อ), ADVANC (จากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยยังปรับขึ้นต่อ ปิดตลาด SET Index +6.53 จุดที่ 1474.92 โดยเป็นการเลือกซื้อรายบริษัทกระจายไปในหลายอุตสาหกรรม ตามปัจจัยผลประกอบการ 2Q59 ที่กำลังทำ Preview และทยอยออกมาถึงกลางเดือนส.ค. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3.3 พันล้านบาท ส่วนอีก 3 กลุ่มที่เหลือขายสุทธิ
สำหรับวันนี้ตลาดหุ้นยังอยู่ในโมเมนตัมบวก แต่ควรระวังการแกว่งตัวจากแรงขายทำกำไร อย่างไรก็ตาม ภาวะดอกเบี้ยต่ำมาก/ติดลบทำให้เม็ดเงินยังเข้ามาแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในตลาดหุ้น รวมถึงตลาดมีความคาดหวังว่าการประชุมนโยบายการเงิน BOE ในวันที่ 14 ก.ค.นี้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม (นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าอาจลดดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.5% เป็น 0.25% และเพิ่มวงเงิน QE) สำหรับในประเทศ ยังเป็นการเลือกซื้อเก็งกำไรผลประกอบการ 2Q59 และแนวโน้ม ซึ่งเรามองว่าหุ้นกลุ่มสายการบินก็ยังน่าจับตามอง เพราะคาดว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตได้แข็งแกร่ง YoY (แต่อ่อนลง QoQ เพราะปัจจัยฤดูกาล - 1Q เป็น High season ของท่องเที่ยว 2Q เป็น Low Season) เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น จำนวนผู้โดยสารไทยที่ใช้สายการบินต้นทุนต่ำแทนการเดินทางด้วยรถยนต์ รถทัวร์ รถไฟ มีมากขึ้นเป็นลำดับ ต้นทุนน้ำมัน Jet ที่ใช้ในปีนี้ต่ำลง และ THAI มีกำไรจาก FX หลังค่าเงินบาทแข็งขึ้นเทียบยูโร (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมด้านใน) สำหรับหุ้นที่เด่นในกลุ่มนี้ที่ยังมี Upside และเราให้เป็นหุ้นพื้นฐานแนะนำสำหรับวันนี้ด้วย คือ AAV (ราคาพื้นฐาน 7.15 บาท มี Upside 18% จากราคาปิดวานนี้)
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวก แต่ควรระวังการแกว่งจากแรงขายทำกำไร การซื้อใหม่จึงเน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1470, 1480 จุด ค่าลบดูไม่ค่อยดี ต่ำกว่าแนวฟิวเตอร์ 1450 จุดควรตัดขายออกไปก่อน
การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ KTC, AP, ANAN, CBG, TMT หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ VIH, STEC, MCS, CKP, TTCL, SCI, SST, STPI, VIBHA, THANI, SCP หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ FSMART, SST, INTUCH, KAMART หุ้นที่หลุด List เป็น MCS, AQUA, PYLON
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
อังกฤษ - จับตาการประชุมนโยบายการเงินของ BOE วันที่ 14 ก.ค.นี้
คาดการณ์ว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เตรียมใช้นโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหลังมี Brexit ซึ่ง BOE จะจัดประชุมนโยบายการเงินวันที่ 14 ก.ค.นี้ โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่าน่าจะเป็นการลดดอกเบี้ย (ปัจจุบันอยู่ที่ 0.50%) หรือเพิ่มวงเงิน QE (ปัจจุบันอยู่ที่ 3.75 แสนล้านปอนด์)
สหรัฐ - แบบจำลอง GDPNow แสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้ม +2.3% ใน 2Q59
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่าแบบจำลองการคาดการณ์ GDPNow แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัว 2.3% ในไตรมาส 2/59 หลังใส่ตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งประจำเดือนพ.ค.ที่ +0.1%MoM เข้าไป สำหรับยอดขายภาคค้าส่ง +0.5%MoM ในเดือนพ.ค. และอัตราส่วนสต็อกสินค้าคงคลังเทียบยอดขายอยู่ที่ระดับ 1.35
+/- สหรัฐ - IMF คาด Brexit กระทบเศรษฐกิจสหรัฐในปี 60-61 ไม่มาก แต่เสี่ยงว่าจะโตน้อยลงในระยะยาว
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุเมื่อ 12 ก.ค.59 ว่าการลงประชามติของอังกฤษในการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ได้ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนและเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ยังไม่มากในระยะสั้น โดยค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นน้อยกว่าคาดหลังมี Brexit และดัชนีตลาดหุ้นปรับขึ้นไปสู่ระดับก่อนและบางดัชนีสูงกว่าก่อนมี Brexit ด้วย และการเข้าซื้อพันธบัตรอย่างมากทำให้ Yield ลดลงส่งผลให้ต้นทุนการระดมทุนภาคธุรกิจต่ำลงด้วย จึงคงคาดการณ์ GDP Growth สหรัฐปี 59 ไว้ที่ 2.2% และปี 60 ไว้ที่ 2.5%
แต่...ยังมีความผันผวนในตลาดเงินและเงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ด้านราคาน้ำมันดิบ IMF มองว่ามีแนวโน้มขยับขึ้น สำหรับความเสี่ยงสำคัญและซับซ้อน คือ ศักยภาพของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะต่ำกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า พร้อมกับอาจมีช่องว่างด้านผลผลิต (Output Gap) ที่ทำให้การขยายตัวหลังปี 60 มีโอกาสต่ำกว่า 2% ทั้งนี้เศรษฐกิจสหรัฐมีปัญหาเรื่องสัดส่วนแรงงานสูงอายุที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และประสิทธิภาพในการผลิตต่ำอยู่แล้วด้วย
+ ตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐ - ปรับขึ้นต่อ
ดัชนี ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวานนี้ปิดบวกขึ้นเกือบ 0.2% ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนนี้ปรับขึ้นประมาณ 0.7% เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่า BOE จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอังกฤษเพิ่มเติม การเมืองในอังกฤษมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังได้นางเทเรซา เมย์ (รมว.มหาดไทย) ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมและนายกรัฐมนตรีแทนนายเดวิด คาเมรอนที่ประกาศลาออกไป และได้อานิสงค์จากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบด้วย
+ ราคาน้ำมันดิบ - ปรับขึ้นราว 4%
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 2.04 ดอลลาร์ หรือ 4.6% ปิดที่ 46.80 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 2.22 ดอลลาร์ หรือ 4.8% ปิดที่ 48.47 ดอลลาร์/บาร์เรล หนุนโดยรายงานของกลุ่มโอเปกประจำเดือนก.ค.59 ที่ระบุว่าแนวโน้มตลาดน้ำมันยังคงสดใสในปี 60 โดยคาดว่าอุปสงค์น้ำมันจะสูงขึ้น 1.15 ล้านบาร์เรล/วัน (ลดลงจากคาดการณ์ 1.19 ล้านบาร์เรล/วันในปี 59) การผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกจะลดลง และปริมาณน้ำมันส่วนเกินในตลาดจะค่อยๆลดลง
- ราคาทองคำ - ร่วงแรง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 21.30 ดอลลาร์ หรือ 1.57% ปิดที่ระดับ 1,335.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นผลจากการคาดการณ์ว่าอังกฤษจะมีมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมเพื่อลดผลกระทบ Brexit
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ กลุ่มท่องเที่ยว - กำไร 2Q59 จะดีกว่าช่วงหลายปีก่อน...หุ้นเด่นมี Upside คือ AAV
เราคาดว่าผลประกอบการ 2Q59 ของหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจะแข็งแกร่งกว่าหลายปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสนามบิน สายการบิน โรงแรม & อาหาร เนื่องจาก
1. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาไทยเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยขึ้นไปถึงระดับสูงสุด (Historical High) ในเดือนก.พ.59 ที่ 3.088 ล้านคน แล้วอ่อนลงในเดือนมี.ค.และเม.ย.เพราะปัจจัยฤดูกาล อย่างไรก็ตาม การเติบโต YoY ยังคงแข็งแกร่งมาก ซึ่งปริมาณนักท่องเที่ยวที่สูงช่วยหนุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน สายการบิน โรงแรมและอาหาร
2. ต้นทุนน้ำมันลดลงเป็นบวกต่อผลประกอบการกลุ่มสายการบิน โดยในปี 59 ธุรกิจการบินมีต้นทุนน้ำมัน Jet ที่ลดลงราว 30-40% เมื่อเทียบกับปี 58 ที่ยังใช้น้ำมันในราคาสูงเพราะมีการทำประกันความเสี่ยงไว้ ทำให้ต้นทุนน้ำมันที่ใช้ลดลงช้ากว่าราคาน้ำมัน Spot
3. การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับยูโร ช่วยทำให้บริษัทที่มีหนี้ยูโรสูงๆ (เช่น THAI ที่มีหนี้สินระยะยาวสกุลยูโรสูงถึง 40% ของทั้งหมด) จะมีกำไรที่ยังไม่รับรู้จากอัตราแลกเปลี่ยน (Unrealized gain)
4. ปริมาณการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ (Low cost airlines) แทนการเดินทางด้วยรถยนต์ รถทัวร์ และรถไฟมีมากขึ้น ทำให้จำนวนผู้โดยสารไทยก็เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนั้นรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การให้นำค่าที่พัก อาหาร ค่าจัดสัมมนา มาเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษี และให้มีวันพิเศษเพื่อเป็นหยุดยาวเพิ่มขึ้น กระตุ้นให้ชุมชนสร้างจุดขายด้านการท่องเที่ยวของตัวเอง เป็นต้น
สำหรับ หุ้นที่ทีมกลยุทธ์ Retail Research เราชอบตัวหนึ่งคือ AAV ซึ่งราคาหุ้นปัจจุบัน 6.05 บาทเทียบกับราคาเป้าหมายทางพื้นฐานที่ 7.15 บาท ยังมี Upside ที่ 18% ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 59-60 ของ AAV จะเติบโตแข็งแกร่ง 71% และ 26% ตามลำดับ ณ ราคาปัจจุบัน ซื้อขายที่ P/E ปี 59-60 ที่ 15.9 และ 12.6 เท่า ตามลำดับ ฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำเพียง 0.1 เท่า แนะนำซื้อ
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]