- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 12 July 2016 17:19
- Hits: 1144
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
ยังมีโอกาสปรับขึ้น? ตามทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ภายใต้คาดการณ์ว่าธนาคารกลางหลายๆ แห่ง จะยังใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากประเด็น Brexit อย่างไรก็ตามระวังแรงขายทำกำไร หลังดัชนีทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบเกือบ 1 ปีทีผ่านมา ทำให้คาดดัชนีอาจปรับขึ้นในกรอบจำกัด
ส่วนประเด็นในประเทศ คาด Sentiment ยังเป็นบวก โดยเฉพาะจาก Fund Flow คาดมีโอกาสไหลกลับมายังภูมิภาคต่อเนื่อง รวมถึงไทย ซึ่งต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา เกือบ 6,300 ล้านบาท และทำให้ YTD ยอดซื้อสุทธิสะสม เพิ่มขึ้นสูงเกือบ 43,000 ล้านบาท
ขณะที่เข้าสู่ประกาศผลการดำเนินงาน 2Q/59 เริ่มจากกลุ่มธนาคาร กลางก.ค. ตามด้วยกลุ่ม Real Sector ซึ่งคาดมีแรงเก็งกำไรต่อเนื่องจนถึงกลางเดือน ส.ค. และคาดยังได้รับปัจจัยบวกจากความชัดเจนในงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ ซึ่งคาดเพิ่มความเชื่อมั่นในการลงทุน เช่น รถไฟฟ้าสายสีชมพู และเหลือง ที่เปิดขายซองประมูล 6 กค. – 5ส.ค.’59 และคาดยื่นซองในวันที่ 7 พ.ย.’59 พร้อมเปิดซองในวันที่ 17 พ.ย.’59 คาดยังเป็นปัจจัยหนุนหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯ
และภายใต้เศรษฐกิจไทย ที่คาดว่าดีขึ้นตามลำดับแต่ยังเปราะบาง หลังกระทรวงการคลังคาด GDP – 2Q/59 เติบโตมากกว่า 3.2% และคาดสูงสุดใน 3Q/59 ที่ 4.0% จากการลงทุนภาครัฐ และคาดทั้งปี’59 เติบโตสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3.3% ซึ่งคาดยังเป็นปัจจัยหนุนภาพรวมตลาดบ้าง
แนะติดตามหุ้นกลุ่ม Domestic Play เช่น กลุ่มค้าปลีก เป็นต้น
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น เช่น IVL
(2) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น เช่น EPG, SCC และ VNG
(3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยบวกจากยอดโอนในช่วงที่เหลือของปี 59 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี เช่น ANAN, AP และ SPALI
(4) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐ เช่น CK, UNIQ, PYLON และ SEAFCO
(5) กลุ่มพลังงาน ในขณะที่หุ้นหลักอย่าง เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซ
ที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี
SET SET50 SET100
1,468.39 +12.74 926.08 +10.20 2,086.71 +22.66
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดหุ้นต่างประเทศ DJIA +80.19, NASDAQ +31.88, S&P +7.26, FTSE +92.22, CAC +73.85 และ DAX +203.75
โดยยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รวมถึงดัชนีแนวโน้มการจ้างงาน (ETI) ในสหรัฐฯ – มิ.ย.อยู่ที่ 128.13 ในเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้นจาก 126.42 เมื่อพ.ค และมุมมองในเชิงบวกว่า ญี่ปุ่นจะเดินหน้าใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป หลังพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ชนะการเลือกตั้งวุฒิสภาในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้รัฐบาลของนายอาเบะเดินหน้าใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการคลังต่อไปได้ อย่างไรก็ตามอยู่ระหว่างรอผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทอัลโค อิงค์
ส่วนตลาดหุ้นยุโรป ยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางของประเทศชั้นนำทั่วโลกอาจใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น รวมถึงธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ที่จะมีการประชุมนโยบายการเงินในวันพฤหัสบดีนี้ (14/7/59) ซึ่งคาดว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ BoE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับผลกระทบของ Brexit และธนาคารกลางจีน ที่คาดจะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม หลังตัวเลขเงินเฟ้อของจีน – มิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.9%yoy ชะลอตัวจาก 2.0% เมื่อพ.ค. และ 2.3% เมื่อเม.ย. ที่ผ่านมา
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. -US$0.65 อยู่ที่ US$44.76ต่อบาร์เรล ภายใต้ความกังวลอุปทานน้ำมันล้นตลาด โดย (1) จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐฯ ล่าสุด เพิ่มขึ้น 10 แท่น อยู่ที่ 351 แท่น ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน และ (2) ปริมาณผลิตน้ำมันในซาอุดิอาระเบีย และไนจีเรีย - มิ.ย. อยู่ที่ 10.33 ล้านบาร์เรล/วัน และ 1.53 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ค. 70,000 บาร์เรล/วัน และ 90,000 บาร์เรล/วัน ตามลำดับ นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยกดดันจากเงินสหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้น
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
22.34 1.89 3.24
ที่มา: www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย(ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 59,594.40
สถาบัน 3,786.64
บัญชีหลักทรัพย์ -745.56
ต่างประเทศ 611.26
ในประเทศ -3,652.34
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. -US$1.8 อยู่ที่ US$ 1,356.6
ต่อออนซ์ ส่วนหนึ่งจากเงินสหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้น และตลาดหุ้นที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้มีการขายสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
(+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ +611 ล้านบาท สะสม YTD 42,841 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,584 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ)
ประเด็นที่ต้องติดตาม 12 - 15 ก.ค. 2559
12/7/59 : สหรัฐฯ เปิดเผย
สต็อกสินค้าและยอดค้าส่งเดือนพ.ค.
งบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนมิ.ย.
13/7/59 : สหรัฐฯ เปิดเผย
ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมิ.ย.
สต็อกน้ำมัน
14/7/59 : สหรัฐฯ เปิดเผย
ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย.
ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
15/7/59 : สหรัฐฯ เปิดเผย
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย.
ดัชนีการผลิตของรัฐนิวยอร์คเดือนก.ค.
ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.
ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังผลิตเดือนมิ.ย.
สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ค.
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนก.ค.
(6) กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, HMPRO, KAMART และ ROBINS ที่คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่อง จากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร 3 โครงการวงเงิน 93,000 ล้านบาท
(7) กลุ่มท่องเที่ยว เช่น โรงแรม (MINT, ERW) ที่คาดได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยล่าสุดสภาพัฒน์ฯ ปรับเพิ่มคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวปี’59 อยู่ที่ 33 ล้านคน จากเดิมที่ 32.5 ล้านคน และคาดรายได้จากการท่องเที่ยว 1.69 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6%
(8) กลุ่มขนส่ง ในส่วนของธุรกิจการบินและสนามบิน เช่น AAV, AOT
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.07 อยู่ที่ 1.43% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.34 อยู่ที่ 13.54
หุ้นแนะนำ : TWPC
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร.02-684-8788