WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASP copyบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน



กลยุทธ์การลงทุน
  ยังแนะนำให้ทยอยขายรายหุ้นที่ราคาหุ้นเกินมูลค่าฯ เพราะความเสี่ยงจากภายนอกยังมี คาดดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่า vs ปอนด์และยูโร กดดันหุ้นน้ำมัน และให้สะสมหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศในสินค้าจำเป็น (BJC, BDMS, ADVANC) หรือมีผลบวกโครงการรัฐ (ASK, CK, UNIQ) หุ้น P/E ต่ำ&ปันผลสูง (RATCH, TCAP) Top picks คือ UNIQ(FV@B20), ADVANC(FV@B189) ซึ่ง Laggard+ปันผลสูง

 

ธนาคารกลางโลกเตรียมออกมาตรการใหม่ รองรับเศรษฐกิจโลก หลัง Brexit
  ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐยังรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ซึ่งบ่งบอกถึงการฟื้นตัวต่อเนื่อง กล่าวคือ ยอดการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payrolls รายงานโดยกรมแรงงาน) เดือน มิ.ย. ฟื้นตัวมากกว่าตลาดมาก อยู่ที่ระดับ 2.87 แสนราย เทียบกับ 1.1 หมื่นรายในเดือน พ.ค. (ตัวเลขทบทวนใหม่จาก 3.8 หมื่นราย) ทั้งนี้เป็นเพราะมีแรงงานที่ไหลเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น ทั้ง ในภาคเอกชน (เข้าสู่ตลาดแรงงาน 2.65 แสนราย) และ รัฐบาล (แรงงานในภาครัฐเพิ่มขึ้น 2.2 หมื่นราย) ทำให้อัตราการว่างงานขึ้นมาอยู่ที่ 4.9%
อย่างไรก็ตามความกังวลประเด็น Brexit น่ามีน้ำหนักมากขึ้นต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสำคัญของโลก เพื่อลดผลกระทบจาก Brexit เนื่องจากสหภาพยุโรปเป็นคู่หลักกับหลายประเทศ โดยเฉพาะกับสหรัฐ ซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของ EU มียอดซื้อขายทั้งหมด คิดเป็น 17.6% ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของยุโรป) สะท้อนจากค่าเงินปอนด์/ดอลลาร์ และยูโร/ดอลลาร์ มีแนวโน้มแกว่งตัวในทิศทางอ่อนค่า แม้หลังจากวันลงประชามติ ค่าเงิน ปอนด์และเงินยูโร ได้อ่อนค่าลงมากถึง 13% และ 3% ตามลำดับ แล้วก็ตาม ซึ่งเท่ากับกดดันให้ Dollar index มีทิศทางแข็งค่า และเป็นปัจจัยกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงและราคาน้ำมัน


  ในสัปดาห์นี้ จะมีการประชุมธนาคารกลางทั่วโลกในหลายประเทศ อาทิ แคนาดา เม็กซิโก 13 ก.ค.ประชุมธนาคารกลางมาเลเซีย แต่คาดว่าตลาดน่าจะให้น้ำหนักไป ประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) วันที่ 14 ก.ค. นี้ ซึ่งตลาดคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลงเหลือ 0.25% จาก 0.5% (ครั้งแรกในรอบ 7 ปี) เพิ่มเติมจากสัปดาห์ที่แล้วที่ได้ลดการดํารงเงินกองทุนส่วนเพิ่ม(CCyB) ลงเหลือ 0% จากเดิม 0.5% และ 15 ก.ค. จีน รายงาน GDP Growth งวด 2Q59 ตลาดคาด 6.6% ชะลอจาก 6.7% ในงวด 1Q59
  ขณะที่ไทย สัปดาห์นี้ยังเป็นช่วงของการเปิดประมูลรถไฟฟ้าต่อเนื่อง หลังจากสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ที่เริ่มไปก่อนหน้า 15 ก.ค. จะประมูลสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) วงเงิน 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งจะสร้าง Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา อาทิ CK([email protected])และ UNIQ([email protected])

 

CPF ต้องจ่ายคืนภาษีให้รัฐ เพราะวิธีคิดของ BOI ขัดแย้งกับวิธีสรรพากร
  ราคาหุ้น CPF ปรับลดลงแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คาดว่าปัญหาหลัก น่าจะเกิดจากกระแสข่าวที่ CPF หนึ่งใน 40 บริษัทที่จะถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง (ตั้งแต่ปี 2553 ถึงปี 2558) เนื่องจากวิธีการคิดภาษีของ BOI แตกต่างจากวิธีการคิดภาษีของกรมสรรพากร กล่าวคือ การคิดภาษีของ BOI จะคิดกำไรขาดทุนเป็นรายโครงการที่ได้รับสิทธิประโยชน์ BOI (เป็นเวลา 8 ปี) ซึ่งโครงการใดขาดทุนก็จะสามารถนำผลขาดทุนไปลดหย่อนภาษีในปีที่ 9 เป็นต้นไป แต่วิธีการการคำนวณภาษีของกรมสรรพากรจะให้ทุกโครงการ (ภายใต้บริษัทแม่เดียวกัน) ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี BOI ต้องนำงบกำไรขาดทุนมารวมกันก่อนที่จะคำนวณเป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้โครงการใด โครงการหนึ่ง ขาดทุนไม่สามารถได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีในปีที่ 9 ได้


  ขณะนี้ ศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้บริษัทเอกชนกว่า 40 บริษัท ต้องจ่ายภาษีย้อนทั้งหมด (ตั้งแต่ปี 2553-2558 ให้กับกรมสรรพากร เป็นเงินรวมทั้งสิ้นกว่า 2 ถึง 6 พันล้านบาท และจ่ายภายในวันที่ 1 ส.ค. 2559 โดยไม่เสียค่าปรับ
  ฝ่ายวิจัยประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ในกรณีเลวร้ายสุด CPF ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นทุกๆ 1 พันล้านบาท จะกระทบคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2559 ของ CPF ราว 8% ของคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2559 แต่ จะกระทบมูลค่าหุ้น เพียง 0.30 บาท หรือลดลงเพียง 0.86% แต่หากค่าใช้จ่ายเพิ่มเป็น 2 พันล้านบาทจะกระทบคาดการณ์กำไรสุทธิเป็น 16% ของประมาณการ และกระทบมูลค่าหุ้นใน ปี 2559 ลดลง 0.60 บาท หรือ ลดลงราว 1.7% แต่เทียบกับราคาหุ้นที่ลด 1.9% ในวันศุกร์ อาจจะบ่งบอกว่าผลกระทบน่าจะไม่เกิน 2 พันล้านบาท

น่าจะเกิด sell on fact หุ้น ธ.พ. จะทยอยประกาศงบสัปดาห์นี้เป็นต้นไป
  สัปดาห์นี้จะเข้าสู่การรายงานผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ งวด 2Q59 โดยนักวิเคราะห์กลุ่มฯ คาดการณ์ผลการดำเนินงานของ ธ.พ. 10 แห่ง พบว่ามีกำไรอยู่ที่ 4.91 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% QoQ แต่ลดลง 4.3% YoY ทั้งนี้หากพิจารณาองค์ประกอบการทำกำไรพบว่า กำไรจากการดำเนินงานอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้เป็นผลจาก NIM ที่ลดลง 8 bp หลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทลง และ การตั้งสำรองฯ ยังคงเพิ่มขึ้นจาก KTB, SCB, BBL สวนทางกับ TCAP, KBANK และ TMB ที่การตั้งสำรองฯ ลดลง
  เป็นที่สังเกตว่า ธนาคารพาณิชย์ที่จัดทำงบการเงินรวมกับ บริษัทประกันชีวิต อาจจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยตลาดที่ฟื้นตัวในช่วงสั้นๆ โดยเฉพาะในช่วงปลายงวด 2Q59 หลังจากที่ลดลงต่ำต่อเนื่องตลอด 1Q59 และ ต่อเนื่องมางวด 2Q59 สะท้อนจาก Bond Yield 10 ปี ที่ปรับสูงขึ้นเป็น 2% จาก 1.71% ใน 1Q59 อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในงวด 3Q59 Bond Yield Bond Yield น่าจะค่อนข้างทรงตัว หรือ flat จึงอาจจะไม่ได้ประโยชน์ในช่วงถัดไป
  จากสถานการณ์ที่กล่าวมาข้างต้น ประกอบกับราคาหุ้นกลุ่ม ธ.พ. ที่ปรับขึ้นสัปดาห์ที่ผ่านมากว่า 2.8% เชื่อว่ามีโอกาสที่หุ้นในกลุ่ม ธ.พ. จะถูกขายทำกำไร โดยเฉพาะหุ้น ธ.พ. ขนาดใหญ่ ที่ราคาเกิน Fair Value หรือมี upside จำกัด เช่น SCB (FV@B130) และ KTB (FV@B17) ขณะที่หุ้น ธ.พ. ขนาดกลาง-เล็ก ที่ผลการดำเนินงานเป็นไปในทิศทางที่ดีกว่า น่าจะยัง Outperform ได้ต่อ คือ TCAP ([email protected]) ยังมี upside อีกกว่า 22% ทั้งยังสามารถคาดหวัง div. yield ในปีนี้ได้สูงถึง 5.4% ส่วน KKP ([email protected]) คาดหวัง div. yield กว่า 4.8% แต่ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงแนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว

ต่างชาติซื้อยังสุทธิหุ้นในกลุ่ม TIP เช่น ไทย และ ฟิลิปปินส์
  วันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอินโดนีเซียและไต้หวันหยุดทำการ แต่จะกลับมาเปิดให้ซื้อขายอีกครั้งในวันนี้ ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่าต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 48 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) แม้จะเป็นการสลับมาขายสุทธิในตลาดหุ้นเกาหลีใต้เพียงแห่งเดียวราว 13 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) ส่วนที่เหลืออีก 2 ประเทศต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ คือ ฟิลิปปินส์ซื้อสุทธิราว 47 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) และไทยซื้อสุทธิราว 15 ล้านเหรียญ หรือ 520 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิสูงถึง 3.9 พันล้านบาท
  ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิสูงถึง 2.9 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 959 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)

ลดผลกระทบภายนอก หลบเข้าหุ้น Domestic : ADVANC, BJC, RATCH, ASK, TCAP
  เชื่อว่าสภาวะตลาดที่ถูกขับเคลื่อนด้วยกระแส Fund Flow ที่เกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน ระดับ P/E สูงถึงกว่า 16.4 เท่า บวกกับราคาน้ำมันโลกที่ปรับขึ้นลงรุนแรง ทำให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะผันผวน สถานการณ์เช่นนี้ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการ ขายทำกำไรหุ้นตัวที่ราคาตลาดเกิน Fair Value ( SCB, KTB, HMPRO, ROBINS, THAI, VGI, LANNA) เป็นต้น จึงยังแนะนำให้สลับมาลงทุนมายังหุ้นที่ มี upside สูง โดยเน้นในกลุ่ม Domestic Play ใน 4-5 กลุ่มหลัก อาทิ


1. กลุ่มสื่อสาร ซึ่งปีนี้กลุ่มฯ ให้ผลตอบแทนเพียง 10.2%ytd (เทียบกับ SET ให้ผลตอบแทน 13%ytd) โดยเชื่อว่าประเด็นลบต่างๆ น่าจะสะท้อนการปรับลงของราคาหุ้นไปมากเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะ ADVANC (FV@B189) แม้จะมีภาระต้นทุนใบอนุญาต 4G แต่ด้วยความแข็งแกร่งของฐานะการเงิน ทำให้ยังครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมได้ต่อไป รวมทั้งยังคาดหวัง div.yield ในระดับสูงได้ และ INTUCH (FV@B74) บริษัทแม่ได้อานิสงส์ตามไปด้วย
2. กลุ่มค้าปลีก น่าจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มการบริโภคในประเทศที่ทยอยฟื้นตัว แนะนำ BJC (FV@B47) โดดเด่นจากการเข้าซื้อกิจการ BIGC หนุนให้ธุรกิจกลับมาเติบโตโดดเด่นอีกครั้ง แต่ในช่วงสั้น อาจมี sentiment เชิงลบต่อความมั่นใจของผู้ถือหุ้น จากที่มีการ2. เปลี่ยนวิธีเพิ่มทุนแบบ PP (กระชั้นชิดเกินไป) มาเป็นการเพิ่มทุนแบบ RO รอบ 2 ทำให้ล่าช้าไปจากแผนเดิมราว 1 เดือน แต่ยังเชื่อว่า BJC จะสามารถเพิ่มทุนได้ตามเป้าหมาย (Fair Value ดังกล่าวได้รวมหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมดไปแล้ว) ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น น่าจะได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินยูโรมาชดเชย ราคาหุ้นที่ลดลงจึงเป็นจังหวะเหมาะสมในการเข้าซื้อ
3. กลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งน่าจะเหมาะเป็นที่หลบภัย กรณีที่มีปัญหาเศรษฐกิจจากภายนอก เพราะยังสามารถเติบโตจากคนในได้ประเทศได้อย่างต่อเนื่อง แนะนำ BDMS (FV@B25)
4. กลุ่มรับเหมาฯ และวัสดุก่อสร้าง ยังเกาะประเด็นโครงการลงทุนภาครัฐไปได้ต่อ ยังชอบ CK (FV@B36) และ UNIQ (FV@B20) และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร หนุนกลุ่มเช่าหุ้นสินเชื่อ-เช่าซื้อรายย่อย S11([email protected]) และ ASK (FV@B23) ที่ยัง laggard
5. หุ้นที่มีกระแสเงินสดมั่นคง จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เช่นหุ้นปันผล ได้แก่ หุ้นโรงไฟฟ้า ได้แก่ RATCH(FV@B60) ถือว่าหุ้นยัง laggard มากเมื่อเทียบกับหุ้นประเทศเดียวกัน เช่น EGCO(FV@BB188) ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้นเต็มมูลค่าแล้ว จึงแนะนำให้ switch จาก EGCO มายัง RATCH รวมถึงการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (Property fund/REIT) ซึ่งให้ผลตอบแทนที่แน่นอนเฉลี่ยทุกไตรมาส

ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์

adsoptimal100

 

 

  

loading...

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!