- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 07 July 2016 16:43
- Hits: 882
บล.เอเชีย เวลท์ : Daily Market Outlook
ยังต้องอยู่กับความไม่แน่นอนที่เกิดจาก Brexit
คาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบวันนี้โดยที่นักลงทุนต้องตัดสินผลสุทธิระหว่างความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพใน EU และเศรษฐกิจโลกอันเป็นผลจาก Brexit ฝ่ายหนึ่ง กับมุมมองล่าสุดของ Fed ว่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ย และตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีมากของสหรัฐ นักลงทุนโลกยังคงแห่กันเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีอัตราผลตอบแทนเป็นลบและเป็นลบมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งสะท้อนความวิตกว่าผลร้ายจาก Brexit อาจปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ ปัจจัยภายในประเทศวันนี้ออกไปทางลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องโตโยต้นปลดคนงานไทย ซึ่งไม่น่าจะนำไปสู่การผลิตที่ลดลง เนื่องจากเหตุผลเกิดจากการที่ทางโตโยต้าต้องการแทนที่คนโดยเครื่องจักรอัตโนมัติมากขึ้น
หุ้นเด่นวันนี้ : TCAP (Bt36.75; ซื้อ, ราคาเป้าหมายปี 59 ของ AWS 46.00 บาท)
บมจ.ทุนธนชาต เป็นหุ้นแนะนำในวันนี้จากการที่เราคาดว่ากำไรของธนาคารในไตรมาส 2/59 จะยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 9.3% QoQ และ 6.0% YoY อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท สาเหตุของการเติบโตดังกล่าวมาจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NlM) ที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เหลืออยู่ ถึงแม้ว่าสินเชื่อจะหดตัวต่อไปในไตรมาสนี้เนื่องจากสินเชื่อเช่าซื้อที่ลดลง ธนาคารยังน่าจะได้รับประโยชน์จาก NlM ที่สูง ซึ่งจะทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเติบโตขึ้นตามด้วย อีกทั้ง TCAP คาดว่าอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) ในไตรมาส 2/59 จะลดลงต่อจาก 2.81% ในไตรมาส 1/59 ซึ่งจะเป็นการลดลงติดต่อกัน 8 ไตรมาส บ่งบอกถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งของธนาคารสวนทางกันกับทิศทางของอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ ธนาคารคาดว่าอัตราภาษีในไตรมาสนี้จะอยู่แค่ประมาณ 5-6% เนื่องจากยังมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเหลืออยู่ 4.1 พันล้านบาทอันเนื่องมาจากผลขาดทุนทางภาษีจากการชำระบัญชีของ SClB ในแง่ของการประเมินมูลค่า หุ้น TCAP ยังน่าสนใจมากอิงจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีที่ถูกที่ 0.8 เท่า และมีอัตราเงินปันผลตอบแทนค่อนข้างดีที่ 5.4% เราคาดการณ์กำไรจะเติบโตที่ 13.1% ในปี 59 และ 9.0% ในปี 60 Price Pattern ของ TCAP ยังมีความแข็งแกร่งในแนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิด Daily & Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่เท่านั้นก็จะทำให้ Price Pattern ของ TCAP กลับมามีเกิดความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมจากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal โดย Price Pattern ของ TCAP จะกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่เมื่อสามารถปิดตลาดรายสัปดาห์ได้เหนือ 36.25 บาทเป็นอย่างน้อย ซึ่งต้องดูการปิดตลาดรายสัปดาห์นี้ว่าจะทำได้หรือไม่ ทั้งนี้เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ TCAP ในระยะสั้นคาดว่ามีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 38.75 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 41 บาท ตามลำดับ โดย TCAP มีจุด Stop Loss ระยะสั้นรอบนี้อยู่ที่ 33 บาท (Resistance: 37.00, 37.50, 38.00; Support: 36.25, 35.75, 35.25)
ปัจจัยสำคัญ
ประเด็นในประเทศ :
เชื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังตามเป้า กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. กล่าวว่าแม้โตโยต้า ประเทศไทยให้คนงานออกโดยสมัครใจ ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการถดถอยของอุตสาหกรรมนี้เพราะจำนวนคนงานที่ได้รับผลกระทบมีจำนวนไม่มาก ส.อ.ท. ยังเชื่อว่าไทยยังมีประสิทธิภาพพอที่จะบรรลุยอดขายรถยนต์ที่ 9 แสนคันอิงจากรายได้ต่อหัวที่ 6 พันดอลลาร์ต่อปี (Bangkok Post) ความเห็น: เราเชื่อเช่นกันว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะบรรลุเป้าปี 59 ได้ อย่างไรก็ดีข่าวนี้สะท้อนว่ามีอุปสรรคอยู่เหมือนกันในการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์และบริษัทรถยนต์บางที่อาจถูกกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น SAT
CK (Bt28.50)ประกาศผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ แจ้งการลงนามในสัญญาก่อสร้างโครงการ เขื่อนไซยะบุรีไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาว (ส่วนเพิ่ม) ณ วันที่ 6 กรกฎาคม 2559 มูลค่าสัญญารวม 19,400 ล้านบาท จำนวนเงินค่าก่อสร้าง 14,650 ล้านบาท สำหรับเฟส 1 ทำไปแล้วในปี 2554-2558 แต่จะมารับรู้ประมาณ 80-90% ของมูลค่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 นี้ และเฟส 2 จำนวน 4,750 ล้านบาท จะรับรู้ในช่วงปี 2559-2562 (SET) ความเห็น: หลังจากการล่าช้าจากกำหนดการก่อนหน้านี้ที่จะลงนามภายในไตรมาส 2/59 ในที่สุดก็ลงนามเรียบร้อย ล่าช้าเพียง 6 วัน เราคาดว่าเรื่องนี้ช่วยให้ CK เพิ่ม Backlog เข้ามา และรายได้ 80% -90% ของงานเฟส 1 จะถูกรับรู้ในครึ่งหลังของปี 2559 ส่งผลให้รายได้ในปี 2559 ของบริษัทเพิ่มเป็น 47,059 ล้านบาท, +35% YoY และกำไรจากการดำเนินงานตามปกติโตขึ้น 1,044% เป็น 2,079 ล้านบาท เป็นไปตามที่เราคาด เรา คงคำแนะนำซื้อ โดยมีราคาเป้าหมาย 32.50 บาท
RATCH (51.25 บาท) วางแผนจะใช้งบลงทุนราว 7.0 หมื่นลบ. สำหรับขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัทฯ ขึ้นสู่ระดับ 10,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2566 จากระดับกำลังการผลิตปัจจุบันที่ 6,956 เมกะวัตต์ โดยส่วนใหญ่จะมาจากการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลักทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิ่งฟอสซิลและโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ซึ่งจะมาจากทั้งการลงทุนแบบ Greenfield และการทำดีล M&A (Bangkok Post) ความเห็น: ในเชิงตัวเลขทางเงินแล้วเราประเมินว่า RATCH น่าจะสามารถเดินหน้าตามแผนการลงทุนดังกล่าวได้ด้วยอัตราหนี้สินที่มีภาวะดอกเบี้ยจ่ายต่อส่วนทุนที่ต่ำเพียง 0.37 เท่า และฐานทุนในปัจจุบันที่ราว 6.0 หมื่นลบ.
ต่างประเทศ
มีการระงับการซื้อขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์สหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์สหราชอาณาจักรที่ถูกระงับการซื้อขายมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวหลังจากที่สหราชอาณาจักรลงประชามติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) คิดเป็นวงเงินรวมกันทั้งสิ้น 1.8 หมื่นล้านปอนด์ (2.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเป็นขนาดของกองทุนรวมที่ใหญ่ที่สุดนับแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี 2008 มี 7 กองทุนได้ระงับการไถ่ถอนและระงับการซื้อขายหลังจากที่นักลงทุนต้องการไถ่ถอนกองทุนเนื่องจากความกังวลว่ามีความเป็นไปได้ที่ราคาอสังหาริมทรัพย์จะร่วงลง (Reuters) ความเห็น: เหตุการณ์นี้อาจก่อให้เกิดวิกฤตความเชื่อมั่นในระบบธนาคารของอังกฤษหรือแม้แต่ในยุโรป
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวปิดปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อวันพุธ จากการทำกำไรหลังจากที่แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในระหว่างการซื้อขายเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอันเป็นผลมาจาก Brexit อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี อยู่ที่ 1.321% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีอยู่ที่ระดับ 2.098% โดยทั้งคู่ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ (Reuters)
เงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อวันพุธ ส่วนเงินปอนด์ดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 31 ปีท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของ Brexit ที่มีต่อเศรษฐกิจทั่วโลก เงินเยนปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีครึ่งเทียบกับเงินปอนด์และไต่สู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินยูโร เงินปอนด์ปรับตัวลงต่ำกว่า 1.28 ดอลลาร์สหรัฐเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรกนับแต่ปี 1985 จากความกลัวเกี่ยวกับกระแสเงินทุนจากต่างประเทศจะไหลออกและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ เงินปอนด์ปิดที่ระดับ 1.2939 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 0.9% (Reuters)
สหรัฐ :
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อวันพุธ เนื่องจากรายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ของ Fed เมื่อวันที่ 14-15 มิ.ย. ที่ระบุว่า ควรมีการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปจนกว่า Fed จะได้รับข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบจาก Brexit และภาวะการจ้างงานที่ซบเซาของสหรัฐ (Reuters)
ดัชนี ISM ภาคบริการสหรัฐแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือนในเดือนมิ.ย. สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (lSM) ระบุว่าดัชนีภาคบริการของ lSM อยู่ที่ระดับ 56.5 เพิ่มขึ้นจากระดับ 52.9 ในเดือนพ.ค. ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 53.3 จากผลสำรวจของรอยเตอร์สที่ได้ทำการสอบถามนักวิเคราะห์ 62 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ส่วนดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ (New Orders) ของ lSM เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 59.9 จาก 54.2 (CNBC)
ยุโรป :
ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันพุธปรับตัวลดลง นำโดยการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มธ.พ. และสถาบันการเงิน ท่ามกลางสัญญาณความกังวลที่มากขึ้นจากการ Brexit (Reuters)
เอเชีย :
เงินหยวนเมื่อวันพุธอ่อนค่าลงเทียบดอลลาร์ฯ สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2553 นับเป็นการอ่อนค่าลงติดต่อกันเป็นวันที่ 5 หลังจากที่ธนาคารกลางจีนลดอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินลงหลังค่าเงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้น (Reuters)
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นปรับตัวลดลงทำระดับต่ำสุดใหม่เมื่อวันพุธ ท่ามกลางความกังวลระลอกใหม่ในตลาดการเงินโลกจากการ Brexit โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีปรับตัวลดลง 1 bps มาอยู่ที่ -0.265% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 20 ปีปรับตัวลดลง 1.5 bps มาอยู่ที่ 0.015% ซึ่งก่อนหน้านี้ในระหว่างซื้อขายได้แตะระดับศูนย์มาแล้ว ในส่วนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปีปรับตัวลดลง 2.5 bps มาอยู่ที่ 0.030% (Reuters)ความเห็น: แม้ว่าอัตราผลตอบแทนจะอยู่ในระดับใกล้ศูนย์หรือติดลบ แต่พบว่าปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อตราสารหนี้ดังกล่าวเนื่องจากมาตรการ QQE ที่จะเข้าซื้อบอนด์ในราคาที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังจะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหลังค่าเงินเยนอยู่ในแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
สินค้าโภคภัณฑ์:
ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเกือบ 2% วันพุธ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐหนุนน้ำมันดิบล่วงหน้าหลังจากลดลงไปแล้วสองวัน แม้จะยังมีน้ำมันเบนซินล้นเกินและความกังวลเรื่อง Brexit ที่อาจเป็นแรงกดดันอยู่ข้างหน้า Brent ปรับขึ้น 84 เซนต์ (+1.8%) ปิดที่ 48.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าส่งมอบ ส.ค. เพิ่มขึ้น 83 เซนต์ (+1.8%) ปิดที่ 47.43 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)
ราคาทองย่อลงหลังจากแตะจุดสูงสุดในรอบสองปีวันพุธ เพราะตลาดหุ้นเป็นลบลดลง ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเพิ่มขึ้นและนักลงทุนซื้อทองเพื่อเลี่ยงความเสี่ยง ราคาทองคำตลาดจร ปิดเพิ่มขึ้น 0.6% ที่ 1,363.36 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากแตะจุดสูงสุด 1,374.91 ดอลลาร์สหรัฐ จุดสูงสุดสุดนับแต่ มี.ค. 57 ทองคำสหรัฐเพิ่มขึ้น 8.4 ดอลลาร์ หรือ 0.6% ปิด 1,367.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (Reuters)
Thailand Research Department
Mr. Warut Siwasariyanon (No.17923) TeI: 02 680 5041
Mr. Krit SuwanpibuI (No.17968) TeI: 02 680 5090
Mrs. VajiraIux SangIerdsiIIapachai (No. 17385) TeI: 02 680 5077
Mr. Narudon Rusme, CFA (No.29737) TeI: 02 680 5056
Mr. Napat Siworapongpun (No.49234) TeI: 02 680 5094