WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

 

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

“อ่อนได้แต่ไม่ควรหลุด 1440”

• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
       ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลงเล็กน้อย ปิดตลาด SET Index -4.49 จุดที่ 1450.07 โดยแรงซื้อขายค่อนข้างกระจายในกลุ่มต่างๆ แต่กลุ่มแบงค์ยังคงมีแรงซื้อต่อใน KBANK, BBL, TMB หุ้นใหญ่อื่นที่เด่น คือ THAI, BANPU, IRPC ฯลฯ ส่วนหุ้นกลาง-เล็กที่ปรับขึ้นดีเป็นTTCL, COM7, AQUA, EPCO, SPA, VNG เป็นต้น นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิต่ออีก 1.2 พันล้านบาท

    ตลาดยังทดสอบระดับจิตวิทยาบริเวณ 1450+/- จุดอยู่ และมีการเลือกซื้อเก็งกำไรหุ้นเป็นรายบริษัทกันต่อ ปัจจัยในประเทศที่ติดตามคือ ผลการPreview ผลประกอบการไตรมาส 2/59 และความคืบหน้าของโครงการลงทุนภาครัฐ ส่วนปัจจัยภายนอกเป็นการติดตาม คือ ตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐที่จะออกมาในวันศุกร์ที่ 8 ก.ค.นี้ (แต่เชื่อว่าเฟดจะยังไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยหลังมีประชามติว่า UK ออกจาก EU) และภาพรวมเศรษฐกิจและภาคการธนาคารของอังกฤษและ EU ซึ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น โดย BOE ระบุว่าเริ่มเห็นสัญญาณลบจาก Brexit แล้ว ค่าเงินปอนด์และยูโรอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับบาท ซึ่งเป็นบวกกับบริษัทที่มีหนี้ยูโรเพราะทำให้มีกำไรจาก FX ได้แก่ BJC (Not Rated), THAI (ในทางกลยุทธ์แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย28 บาท), TPIPL (Not Rated) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าของเงินยูโรเทียบบาทอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทที่ส่งออกไปยุโรปสูง ในเรื่องของการถูกต่อรองราคา และรายได้ & กำไรที่แปลงจากยูโรเป็นบาทจะน้อยลง เช่น KCE, TU, SVI, IVL, TOG, XO เป็นต้น ขณะที่ธ.กลางอิตาลีต้องเร่งออกมาตรการช่วยเหลือภาคธนาคารเพราะขณะนี้มีหนี้เสียสูงมาก (มี NPL ในสินเชื่อการบริโภคสูงถึง 18.1%) เรียกได้ว่าภายนอกมีความเสี่ยง/ความไม่แน่นอนสูงมาก กลยุทธ์ : จึงเน้นลงทุนในหุ้น Domestic & AEC Play โดยหุ้น Top Picks ของเดือนก.ค.59 เป็น CK, CPALL, CPN, JASIF และ DarkHorse คือ ANAN, BWG สำหรับหุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น ANAN

   การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แต่ยังไม่ทิ้งการรีบาวด์ก่อนลงต่อ การซื้อใหม่จึงเน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1460,1470 จุด ค่าลบดูไม่ค่อยดี ต่ำกว่าแนวฟิวเตอร์ 1440 จุดควรตัดขายออกไปก่อน

    การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ ANAN, AQUA, KKP, TVO ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ FSMART,SYNEX, QTC, VIH, STEC, KBS, MCS, SRICHA, AP, CKP หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ SPA หุ้นที่หลุด List -ไม่มี-

Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- สหรัฐ : ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานพ.ค.59 อ่อนตัวลง MoMยอดสั่งซื้อภาคโรงงานสหรัฐเดือนพ.ค.59 ลดลง 1.0%MoM เนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนแอในภาคการขนส่ง และสินค้าทุน

• สหรัฐ : จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนมิ.ย.วันศุกร์นี้กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐประจำเดือนมิ.ย.59 ในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ ก่อนที่เฟดจะประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 26-27 ก.ค.59สำหรับผลสำรวจนักวิเคราะห์ คาดว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของเดือนมิ.ย.จะเพิ่ม 180,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มเพียง 38,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค.59

- อังกฤษ : BOE แถลงว่าเริ่มเห็นสัญญาณความเสี่ยงหลัง Brexit แล้วBoE เปิดเผยรายงานเสถียรภาพการเงินรอบครึ่งปีวานนี้ (6 ก.ค.) ซึ่งเป็นการเปิดเผยรายงานครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สหราชอาณาจักร (UK) ลงประชามติแยกตัวจากสหภาพยุโรปเมื่อ 24 มิ.ย.59 โดยรายงาน BoE ระบุว่าความเสี่ยงจาก Brexitเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว และสถานการณ์ด้านเสถียรภาพทางการเงินของสหราชอาณาจักรในขณะนี้ก็กำลังเผชิญภาวะท้าทายมาก โดยเป็นช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนเพราะต้องมีการปรับเปลี่ยนหลังการลงประชามติ UK ต้องใช้เวลาในการสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับสหภาพยุโรปและประเทศอื่นๆ ซึ่งอาจเกิดความผันผวนต่อเศรษฐกิจและตลาดในช่วงที่กระบวนการดังกล่าวดำเนินไป คาดว่าตามกระบวนการต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี UK จึงจะออกจาก EU อย่างเป็นทางการ

-/• อิตาลี : ปัญหาหนี้เสียภาคธนาคารกดดันหนัก รัฐบาลออกแผนช่วยเหลือด่วนมีรายงานผ่านสื่อในอิตาลีว่ารัฐบาลอิตาลีเตรียมแผนช่วยเหลือธนาคาร Banca Monte dei Paschi di Siena SpA ซึ่งรวมถึงการให้ธนาคารออกหุ้นกู้แปลงสภาพเพื่อขายให้กับรัฐบาล และอัดฉีดเงินเข้าระบบ 3 พันล้านยูโร ภายหลังจากที่ธนาคารกลางอิตาลีเปิดเผยว่าภาคธนาคารอิตาลีมี NPL สูงถึง 3.60 แสนล้านยูโร (18.1% ของสินเชื่อที่ปล่อยให้ผู้บริโภค)และราว 58% ของสินเชื่อดังกล่าวปล่อยจากสถาบันการเงินที่ใกล้ล้มละลาย ทั้งนี้ภาคธนาคารอิตาลีจะต้องทดสอบภาวะวิกฤตกับหน่วยงานกำกับดูแลของยุโรปในเร็วๆนี้ และหากไม่ผ่านการทดสอบ อิตาลีก็อาจจะต้องใช้มาตรา 32 ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน (Bank Resolution) ของสหภาพยุโรปเพื่อขอความช่วยเหลือชั่วคราว

• ยูโรโซน : ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการมิ.ย.ทรงตัวที่ 53.1มาร์กิต อิโคโนมิคส์ เปิดเผยว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการยูโรโซนอยู่ที่ 53.1 ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบกับตัวเลขเบื้องต้นที่ 52.8 และตัวเลขเดือนพ.ค.ที่ 53.1 สำหรับดัชนี PMI ภาคบริการอยู่ที่ 52.8 เพิ่มขึ้นจากสถิติเบื้องต้นที่ 52.4 แต่ลดลงจากสถิติเดือนพ.ค.ที่ 53.3 มาร์กิต ระบุว่าผลผลิตภาคการผลิตขยายตัวดีที่สุดใน YTD ปีนี้ ขณะที่ภาคบริการชะลอตัวลงหนักสุดในรอบเกือบปีครึ่ง

- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีหุ้นร่วงลง 0.6-0.8% หลัง BoE เตือนความเสี่ยง Brexitดัชนี DJIA ปิดลดลง 108.75 จุด หรือ -0.61% ดัชนี NASDAQ ปิดลดลง 39.67 จุด หรือ -0.82% ดัชนี S&P500 ปิดลดลง14.40 จุด หรือ -0.68% โดยเป็นผลจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบ Brexit รวมทั้งการดิ่งลงราคาน้ำมันดิบกว่า 2ดอลลาร์/บาร์เรล ก็กดดันหุ้นกลุ่มพลังงานด้วย

- ราคาน้ำมันดิบ : ร่วงลง 4-5% เพราะกังวลผลกระทบ Brexit & อุปทานเพิ่มสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 2.39 ดอลลาร์ หรือ 4.9% ปิดที่ 46.60 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ร่วงลง 2.14 ดอลลาร์ หรือ 4.3% ปิดที่ 47.96 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยที่กดดัน คือ กังวลผลกระทบ Brexit ว่าจะทำให้อุปสงค์น้ำมันอ่อนตวลง และมีข่าวว่าไนจีเรียผลิตน้ำมันดิบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 9 หมื่นบาร์เรลเป็น 1.53 ล้านบาร์เรล/วัน ส่วนซาอุฯผลิตเพิ่ม 7 หมื่นบาร์เรลเป็น 10.33 ล้านบาร์เรล/วัน

+ ราคาทองคำ : ปรับขึ้นแรงสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 19.70 ดอลลาร์ หรือ 1.47% ปิดที่ระดับ1,358.70 ดอลลาร์/ออนซ์ เพราะตลาดกังวลกับผลกระทบจาก Brexit ที่อาจเป็นความท้าทายที่สูงและยาวนาน

ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• กกร.คาดส่งออกปีนี้ติดลบ 2% แต่ผู้บริโภคใช้จ่ายดีขึ้น และการใช้จ่ายภาครัฐ & ท่องเที่ยวยังเติบโตดีคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวนอยู่ในระดับสูง อาจส่งผลกระทบต่อคำสั่งซื้อสินค้าจากไทย และทำให้การฟื้นตัวของการส่งออกอาจต้องใช้เวลามากกว่าที่คาด ที่ประชุมกกร.จึงประเมินมูลค่าการส่งออกปี 2559 ว่าจะติดลบร้อยละ 0-2 หลังจากหดตัวร้อยละ 1.9 ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งน่าจะยังเป็นอัตราการหดตัวที่น้อยกว่าอีกหลายประเทศในภูมิภาค อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายในประเทศเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว ประกอบกับการใช้จ่ายของภาครัฐและการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ที่ประชุมจึงยังคงกรอบประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2559 ไว้ที่ร้อยละ 3.0-3.5 ตามเดิม


+ THAI (ราคาปิด 25.75 บาท) : คาด 2Q59 จะเป็น Low Season ที่ดีกว่าหลายปีที่ผ่านมาโดยปกติแล้วไตรมาส 2 เป็นช่วงเวลาที่บริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานปกติ เพราะเป็น Low Season ของธุรกิจ แต่ในไตรมาส 2 ปีนี้คาดว่าจะขาดทุนน้อยกว่าหลายปีที่ผ่านมาเพราะบริษัทมีต้นทุนดำเนินงานที่ลดลงหลังผ่านการปรับโครงสร้างภายในมาแล้วในระดับหนึ่ง มีการปิดเส้นทางการบินที่ไม่ทำกำไร และที่สำคัญคือต้นทุนน้ำมัน Jet ที่ใช้ต่ำลงจากปีก่อน รวมทั้งในไตรมาส 2 ปีนี้จะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาช่วยหนุนด้วย เนื่องจากบริษัทมีหนี้สินที่อยู่ในรูปยูโรสูงที่ประมาณ 40% ซึ่งค่าเงินบาทระดับปิดสิ้นไตรมาส 2/59 แข็งขึ้น 0.94 บาท/ยูโร ทำให้คาดว่าบริษัทจะมีกำไรที่ยังไม่รับรู้จากอัตราแลกเปลี่ยนราว 1.4 พันล้านบาท


      แนวโน้มกำไรในไตรมาส 3/59 จะยังไม่ดีนักเพราะเป็นฤดูฝนและอยู่ในช่วง Low Season แต่จะพลิกฟื้นเป็นกำไรจากการดำเนินงานปกติได้ในไตรมาส 4/59 แต่คาดว่าจะไม่มากเท่ากับ Core Profit ในไตรมาส 1/59 ที่สุงถึง 7 พันล้านบาทอย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปี 59 นี้บริษัทจะมี Core Profit ที่เป็นบวกได้อย่างน้อย 9-10 พันล้านบาท ถือเป็นการ Turnaroundที่ชัดเจน ในเชิงกลยุทธ์แนะนำซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมาย 28 บาท อิงกับ Core P/E ปี 59 ที่ 6 เท่า

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]

 

 

loading...

adsoptimal100

 

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!