- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 06 July 2016 15:13
- Hits: 603
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ความกังวลผล Brexit ยังกดดัน SET ให้ลงต่อได้ แต่คาดเป็นโอกาสซื้อ
ตลาดหุ้นวานนี้ : แม้ช่วงแรก SET จะยังขยับบวกขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ต่อ แต่ก็มีแรงขายกดดันให้ผันผวน ส่งผลให้ตลาดแกว่งตัวด้านลบมากขึ้นในภาคบ่าย โดยคาดว่าเนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่หนุน โดยเฉพาะมาตรการรับมือกับผลกระทบจาก Brexit ของประเทศต่างๆ ก็ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้นักลงทุนบางส่วนขายทำกำไรลดความเสี่ยงก่อน
แนวโน้มตลาดวันนี้ : หลังจากเมื่อวานนี้ BOE ไม่ได้มีความชัดเจนมากนักเกี่ยวกับมาตรการรับมือผลกระทบจาก Brexit ในขณะที่รายงานเสถียรภาพทางการเงินระบุเพียงว่าสหราชอาณาจักรกำลังเผชิญภาวะท้าทาย นอกจากนี้ยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงเกือบ 5% ของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก จากรายงานที่ว่าไนจีเรียและซาอุดิอาระเบียผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก รวมทั้งนักลงทุนยังวิตกว่าผลของ Brexit จะทำให้อุปสงค์พลังงานอ่อนแรงลงด้วย ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปปิดเป็นลบกว่า 1% เป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งตลาดหุ้นสหรัฐก็ปิดเป็นลบกว่า 100 จุดด้วย ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เปิดลบอีกครั้ง และเริ่มปรับลงแรงพอควร ดังนั้น SET จึงยังมีแนวโน้มแกว่งลงได้อีก
กลยุทธ์ : เนื่องจาก FSS คาดว่า SET ปรับลงเพื่อสร้างฐานรอขยับขึ้นรอบใหม่ โดยลุ้นเป้า 1500 จุดได้ในช่วงถัดไป ดังนั้นยังแนะนำถือต่อเนื่อง และเลือกหุ้นซื้อได้เมื่อตลาดปรับลง
แนวรับ 1447-1445 , 1440-1436 จุด
แนวต้าน 1452-1455 , 1458-1462 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : TTCL, THCOM, THAI(buy back)
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคแต่เบาบางลง US$40ล้าน ส่วนใหญ่ไหลเข้าไทย US$35ล้าน และฟิลิปปินส์ US$20ล้าน ขณะที่ไหลออกจากไต้หวัน US$20ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนเริ่มผันผวนมากขึ้น ตลาดเริ่มกลับมาทบทวนผลกระทบของ Brexit ต่อเศรษฐกิจโลกใหม่หลังจาก BOE ระบุถึงความเสี่ยงของ Brexit ที่เริ่มก่อตัวขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันดิ่งลง 5% เมื่อคืนนี้จากความกังวลต่ออุปสงค์ที่อาจลดลงตามเศรษฐกิจทั่วโลกที่จะชะลอตัว
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(-) ปัจจัยต่างประเทศกดดันสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง วานนี้ BOE รายงานเสถียรภาพการเงินรอบครึ่งปี ระบุว่าสถานการณ์กำลังเผชิญความท้าทายจากผลของ Brexit และประกาศลดการดำรงเงินกองทุนสำรอง Countercyclical Capital Buffer rate ของธนาคารเหลือ 0% จาก 0.5% มีผลทันที เพื่อช่วยสภาพคล่องในระบบ ให้ธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้มากขึ้นอีก 1.5 แสนล้านปอนด์ (US$2 แสนล้าน) นอกจากปัญหา Brexit ตลาดกลับมากังวลกับสถานะของธนาคารในอิตาลีอีกครั้งหลังหุ้นของแบงก์ Banca Monte dei Paschi di Siena (BMPS) ถูกห้ามซื้อขายระหว่างวันหลังราคาหุ้นดิ่ง 19% เมื่อ ECB สั่งให้แบงก์ BMPS ตัดหนี้เสียกว่า 40% ความกังวลในต่างประเทศกลับมากดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง ยกเว้นทองคำ เงินดอลลาร์และเยนที่ปรับขึ้นสวนตลาด
(-) ราคาน้ำมันร่วง 5% หลังตลาดกลับมากังวลผลกระทบ Brexit ว่าจะกระทบต่อ Demand ของน้ำมัน ในขณะที่ Supply เพิ่มขึ้นจากไนจีเรียหลังปริมาณการผลิตน้ำมันกำลังกลับเข้ามาสู่ตลาด ระวังราคาน้ำมันฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานวันนี้ PTTEP, PTT, PTTGC ขณะที่ค่าการกลั่นยังทรงตัวในระดับต่ำ เป็นลบต่อ SPRC, TOP, BCP, IRPC, PTTGC สวนทางกลุ่มสายการบินที่ sentiment เป็นบวก
(-) KTB การประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ไม่น่าประทับใจเท่า KBANK เพราะการตั้งสำรองใน 2Q16 ที่คาดเพิ่มถึง +4% Q-Q, +20% Y-Y ตาม NPL ที่ยังเพิ่มขึ้น ประกอบกับสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมชะลอตามฤดูกาล ทำให้คาดกำไร -9% Q-Q สวนทาง KBANK และ SCB ที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นจาก 1Q16 เราปรับลดกำไรสุทธิปีนี้ของ KTB ลง 6% เหลือ 2.76 หมื่นล้านบาท -3% Y-Y (ลดสินเชื่อและ NIM เพิ่มการตั้งสำรอง) ทำให้ราคาพื้นฐานลดเหลือ 19.10 บาทจาก 19.50 บาท นอกจากนี้ KTB ยังมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทีมผู้บริหารโดยคุณวรภัคจะครบวาระ พ.ย. นี้ เราจึงชอบ KTB น้อยสุดในกลุ่มแบงก์ใหญ่ แต่เพราะเป้าใหม่มี upside >10% จึงแนะนำ ซื้อ
(+) K แนวโน้มกำไร 2Q16 ยังอยู่ในเกณฑ์ที่เราคาดก่อนหน้านี้ (ดูบทวิเคราะห์ 10 มิ.ย.) คือ 16-19 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 3.7 ล้านบาทใน 2Q15 และโต 15-35% Q-Q แนวโน้ม 3Q16 จะเป็น peak ของปีนี้หลังได้งานเพิ่ม 60 ล้านบาทในเดือน มิ.ย. ทำให้ Backlog เพิ่มเป็น 550 ล้านบาท รับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ทั้งหมดและส่วนใหญ่เข้าใน 3Q16 และมีโอกาสลุ้นงานใหญ่ 200-300 ล้านบาท รู้ผล 1-2 เดือนข้างหน้า กำไรปีนี้ที่เราคาด 62 ล้านบาท +19% Y-Y มีโอกาสทะลุเป้า ปัจจุบัน K มี PE 16 เท่า ต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่ 25 เท่า และต่ำกว่าราคา IPO ที่ 5.80 บาท เรายังคงแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 6.20 บาท
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดลบโดยนักลงทุนกลับมากังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรง
(-) ส่วนตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดลบค่อนข้างแรงหลัง BoE เปิดเผยว่าเสถียรภาพทางการเงินของสหราชอาณาจักรกำลังเผชิญภาวะท้าทาย
(-) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดในแดนลบตามตลาดหุ้นภูมิภาคอื่นจากบรรยากาศการลงทุนที่ไม่สดใส
(-) ค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่า ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 35.15-35.30 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. ร่วงแรง 2.39 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 46.60 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยนักลงทุนกังวลว่า Brexit จะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 19.70 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,358.70 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยนักลงทุนยังคงเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้นจากความกังวลเรื่องผลกระทบจาก Brexit รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจจีนทีอ่อนแอ
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
4-8 ก.ค. - อินโดนีเซีย: ตลาดการเงินปิด วัน Idul Fitri
6-7 ก.ค. - ตลาดหุ้นมาเลเซียปิด วัน Hari Raya Puasa
6 ก.ค. - ตลาดหุ้นสิงคโปร์และอินเดียปิดทำการ วัน Idul Fitri
7 ก.ค. - ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (มิ.ย.)
- สิงคโปร์: 2Q16 GDP
- สหรัฐ: FOMC Meeting Minutes, การจ้างงานภาคเอกชน (มิ.ย.)
8 ก.ค. - สหรัฐ: การจ้างงานนอกภาคเกษตร (มิ.ย.)
10 ก.ค. - จีน: อัตราเงินเฟ้อ (มิ.ย.), ยอดสินเชื่อรายเดือน (มิ.ย.)
11 ก.ค. - ไทย: BTW เข้าเทรด (ราคา IPO 3.75 บาท)
13 ก.ค. - จีน: ดุลการค้า (มิ.ย.)
- ยูโรโซน: Industrial Production (พ.ค.)
14 ก.ค. - สหรัฐ: Beige Book
Contact person : Somchai Anektaweepon
Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852
www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch