WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : ภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

หุ้นที่เปลี่ยนคาแนะนาทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
  ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปรับขึ้นต่อแต่ไม่ผ่าน 1450 จุด (สูงสุด 1449.90 แล้วอ่อนลงมาปิดที่ 1442.66 หรือ +5.24 จุด) โดยเป็นการเลือกซื้อเป็นรายบริษัทกระจายในกลุ่มต่างๆ ที่โดดเด่น คือ KBANK (หุ้นพื้นฐานแนะนาของเราเมื่อวานนี้), SCB, CK, BCP (1 ในหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงานของเรา), SPALI, BIG, KKP, KAMART (หุ้นเล็กที่เราแนะนาอีกตัวหนึ่ง) นักลงทุนสถาบันในประเทศนำซื้อสุทธิ 5.6 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิ 2 วันที่ผ่านมาพอๆ กับขายสุทธิไปกว่า 7 พันล้านบาทในวันที่ผลประชามติ UK ออกมา) บ่งชี้ว่ากลับมารักษา Position ใกล้เคียงเดิมแต่อาจมีการเปลี่ยนตัวหุ้นภายในพอร์ต
  สาหรับวันนี้ ตลาดควรจะบวกและผ่านขึ้นไปยืนเหนือ 1450 จุดให้ได้จึงจะมีลุ้นไปต่อที่แนวต้านถัดไป ค่าลบเล็กน้อยไม่เป็นไร แต่ต่ากว่า 1438 ดูไม่ค่อยดีให้ Wait & See ก่อนเพราะมีสิทธิลงไปที่ 1425+/- หรือต่ากว่าได้ ส่วนปัจจัยในตลาดยังไม่ได้มีเรื่องใหม่ที่มีน้าหนักมากนักความเห็นเกี่ยวกับผลกระทบ Brexit ยังคล้ายๆเดิม ขณะที่ธนาคารกลางประเทศชั้นนายืนยันออกมาตรการรับมือเรื่องนี้ก็ทาให้ความกังวลผ่อนคลายลงไป ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐเช้านี้แข็งค่าเล็กน้อย เงินเยนแข็งขึ้นเมื่อเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐ ยูโร และเงินปอนด์ ด้านเงินบาทอ่อนลงเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐแต่ไม่มาก สาหรับปัจจัยที่จะเข้ามามีน้าหนักมากขึ้น คือ Preview ผลประกอบการไตรมาส 2/59 ของบริษัทจดทะเบียน นอกจากนั้นระยะสั้นมากมีประเด็นบวกจาก Window Dressing ด้วย สาหรับหุ้นแนะนาเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น RS
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวก แต่ก็พร้อมเปลี่ยนเป็นลบ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก การปรับขึ้นต่อมีแนวต้านระยะสั้น 1450, 1460 จุด ค่าลบที่ต่ากว่าแนวฟิวเตอร์หลัก 1430 จุดดูไม่ดี ในทางเทคนิคแนะนาให้ลดพอร์ตตาม
  การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ BAY, BTS, CBG, STEC, UNIQ ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ FSMART, SYNEX, THANI, QTC, FORTH, VIH หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ CK, TPOLY หุ้นที่หลุด List -ไม่มี-

ปัจจัยต่างประเทศ
+ รัฐบาลและธนาคารกลางประเทศชั้นนายืนยันความพร้อมรับมือเมื่อมีประชามติ UK ออกจาก EU
  # ธนาคารกลางสหรัฐแถลงการณ์ว่าพร้อมอัดฉีดเงินดอลลาร์สหรัฐเข้าระบบเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
  # ธนาคารกลางญี่ปุ่นแถลงการณ์ว่าญี่ปุ่นจะใช้มาตรการทุกๆด้านเพื่อจากัดผลกระทบของ Brexit
  # ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เรียกร้องให้ธนาคารกลางทั่วโลกกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวจากภาวะอ่อนแอ
  # ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษประกาศอัดฉีดเงินทุนพิเศษมูลค่า 2.50 แสนล้านปอนด์ หรือราว 3.34 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านโครงการต่างๆ ที่ธนาคารดาเนินการอยู่ในปัจจุบัน
  # บรรดาผู้นาในที่ประชุมผู้นาของสหภาพยุโรป (EU) เมื่อวานนี้ (29 มิ.ย.59) ต่างก็แสดงความมุ่งมั่นที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยจะรักษาจานวน 27 ชาติสมาชิกไว้หลังอังกฤษลงประชามติออกจาก EU เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
- อังกฤษ : Fitch ปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ปี 60-61 เหลือ 1% จากเดิม 2%
  Fitch Ratings คาดการณ์ว่าการลงทุนในอังกฤษจะลดลงราว 5% ในปี 60 และดิ่งลง 15% ในปี 61 อันเนื่องจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นหลังการลงประชามติออกจากสหภาพยุโรป ขณะที่ธุรกิจบางแห่งกาลังพักการลงทุน และ Fitch ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ของอังกฤษในปี 60 และ 61 ลงสู่ 1% จากเดิม 2%
+ สหรัฐ : การใช้จ่ายผู้บริโภคพ.ค.เพิ่มขึ้น ดัชนี PCE พื้นฐานขยับขึ้นต่อ
  การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเดือนพ.ค.59 เพิ่มขึ้น 0.4%MoM เพิ่มเป็นเดือนที่ 2 สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน (ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน) หรือ Core PCE ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสาคัญปรับตัวขึ้น 0.2%MoM ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน
+ ตลาดหุ้นยุโรป & สหรัฐพุ่งขึ้นต่อในวันพุธ
  ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปปรับขึ้น 2-3% ส่วนดัชนีตลาดหุ้นอังกฤษพุ่งขึ้น 3.6% ด้านดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐเพิ่มขึ้นอีก 1.6-1.8% ปัจจัยหนุน คือ ความวิตกกังวลเรื่อง Brexit ที่ผ่อนคลายลงจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางชั้นนาของโลกจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับผลกระทบจากปัจจัย Brexit และตลาดหุ้นสหรัฐยังได้อานิสงค์ทางบวกจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ามันดิบกว่า 4% ด้วย
+ ราคาน้ามันดิบพุ่งขึ้นต่อ...สต็อกน้ามันดิบสหรัฐลดลงเกินคาด
  สัญญาน้ามันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 2.03 ดอลลาร์ หรือ หรือ 4.2% ปิดที่ 49.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT พุ่งขึ้น 2.03 ดอลลาร์ หรือ 4.2% ปิดที่ 50.61 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยหนุนสาคัญ คือ รายงาน EIA ที่ระบุว่าสต็อกน้ามันดิบสหรัฐลดลง 4.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 526.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ และสอดคล้องกับรายงานของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (API) ก่อนหน้านี้ว่าสต็อกน้ามันดิบสหรัฐลดลง 3.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 2.4 ล้านบาร์เรล รวมถึงความกังวล Brexit ผ่อนคลายลง และการใช้จ่ายผู้บริโภคสหรัฐที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
+ ราคาทองคารีบาวด์
  สัญญาทองคาตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 9 ดอลลาร์ หรือ 0.68% ปิดที่ระดับ 1,326.90 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยเป็นผลจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนลง

ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ กลุ่มพลังงาน : คาดกาไร 2Q59 แข็งแกร่ง โดยมีกาไรจากสต็อกน้ามันช่วยหนุน
  # ราคาน้ามันดิบ BRENT ปรับขึ้นหลังจากรัฐบาลและธนาคารกลางของประเทศชั้นนาทั่วโลกยืนยันที่จะออกมาตรการรับมือผลกระทบจาก Brexit ทาให้ความวิตกผ่อนคลายลง ล่าสุดเมื่อวานนี้ราคาน้ามันดิบอยู่ที่ 51.32 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มจากระดับปิดในสิ้น 1Q59 ที่ 40.33 ดอลลาร์อยู่ 27%
  # เราจึงคาดว่ากลุ่มพลังงานจะมีกาไรจากสต็อกของโรงกลั่น หลังจากราคาน้ามันดิบเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสาคัญในไตรมาส 2 สาหรับหุ้นกลุ่มพลังงานที่ DBSV ทาการวิเคราะห์และยังเหลือ Upside สาหรับการลงทุน คือ BCP (ราคาพื้นฐาน 39 บาท) PTT (ราคาพื้นฐาน 320 บาท) และ PTTGC (ราคาพื้นฐาน 70 บาท)
+ RS (ราคาปิด 11.30 บาท) : ผลประกอบการไตรมาส 2/59 ต่าสุดในปีนี้ แล้วจะพลิกฟื้นใน 2H59
  # ผลประกอบการ 2Q59 ของ RS มีโอกาสจะอ่อนแอลงและอาจเป็นขาดทุนสุทธิราว 40-60 ล้านบาท เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการทาการตลาดผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพราว 90-100 ล้านบาท (ผลิตภัณฑ์ใหม่ในแบรนด์ MAGIQUE โดยมีมาช่า วัฒนาพาณิช เป็นพรีเซนเตอร์หลัก) และมีการตั้งสารองในธุรกิจเพลงราว 10 ล้านบาท
  # แต่...คาดว่าจะเป็นเพียงชั่วคราว และผลประกอบการพลิกกลับเป็นกาไรได้ใน 2H59 หลังจากรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพและความงามเข้ามาได้มากขึ้น นอกจากนั้นบริษัทยังมีการปรับผังรายการช่อง 8 ด้วยการเพิ่มเวลาละครให้มากขึ้นอีก 30 นาที สาหรับการปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาในปีนี้ทาได้น้อยกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้เพราะการแข่งขันที่สูง และสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออานวยนัก แต่อัตราค่าโฆษณาในปี 2559 ก็ยังสูงกว่าปี 2558
  # บริษัทประเมินว่าการเติบโตของบริษัทในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า หลักๆ จะมาจาก 1) รายได้จากผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพและความงามที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด (โดยจะทาการตลาดทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านด้วย) 2) การปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณา และ 3) การปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อทาให้สินทรัพย์ที่มีอยู่ทารายได้และกาไรได้มากขึ้น ซึ่งเราเห็นว่ามีโอกาสสูงที่บริษัทจะประสบความสาเร็จในสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม เพราะมีช่องทางการตลาดของตัวเอง (ผ่านทีวีดิจิตอลและออนไลน์)
  # คาแนะนาเชิงกลยุทธ์ - ซื้อสะสม ราคาพื้นฐานใน Consensus อยู่ที่ 13 บาท ซึ่งมี Upside จากราคาปิด 15% สาหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค แนะนาให้ซื้อตามค่าบวก/หรืออ่อนแต่ไม่หลุด 11 บาท โดยมีแนวต้านระยะสั้น 12.50-13.00 บาท (14.00 บาท)

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]

 

 

  

loading...

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!