- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 28 June 2016 18:12
- Hits: 3594
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เลือกซื้อ/ถือเมื่อ SET ยืนเหนือ 1410'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปรับขึ้น Outperform ภูมิภาค โดย SET Index ปิด +11.12 จุดที่ 1424.31 (สูงสุดในวัน +13.49 จุด) โดยมีแรงซื้อกลับเข้ามาในกลุ่มที่ถูกกระทบจากปัจจัยเสี่ยงภายนอกจำกัด ธุรกิจมีแนวโน้มเติบโต/ฟื้นตัวได้ดี เพราะอิงกับอุปสงค์ในประเทศและภูมิภาคเอเชีย นักลงทุนสถาบันในประเทศนำซื้อสุทธิ 4.5 พันล้านบาท (ซื้อกลับหลังขายสุทธิไปมากถึง 7.5 พันล้านบาทในวันศุกร์ที่ผ่านมา) ส่วน 3 กลุ่มที่เหลือเป็นขายสุทธิ
ความวิตกกังวลผลกระทบ Brexit ยังมีต่อ โดยนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักประเมินว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 60 และเศรษฐกิจยุโรปจะย่ำแย่ ยังผลให้เศรษฐกิจโลกมีโอกาสถดถอยเล็กๆในปีหน้า สถาบันจัดอันดับ S&P และ Fitch Ratings ประกาศปรับลดอันดับเครดิตอังกฤษลง 2 ขั้นเป็น AA จาก AAA และ AA+ ตามลำดับ ซึ่งผลกระทบดังกล่าวส่งผ่านมายังอุปสงค์น้ำมันและโภคภัณฑ์ต่างๆให้ชะลอตัวตามไปด้วย สำหรับเศรษฐกิจไทย เราประเมินว่าภาคส่งออกและท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบจาก Brexit มากกว่าที่คาด ทั้งจากการถูกต่อรองราคาสินค้าส่งออก ปริมาณการค้าที่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ EU และเศรษฐกิจโลก รวมถึงผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นในการลงทุนจึงเน้นกลุ่ม Domestic Play อย่างที่ได้แนะนำไปแล้วตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย.59 ที่ผ่านมา โดยหุ้น Core Picks ของเราเป็น CK, SCC, CPALL, CPN, JASIF ส่วนกลุ่มธนาคารก็อิงอุปสงค์ในประเทศแต่มีประเด็นเรื่องคุณภาพสินทรัพย์กดดัน จึงแนะนำทยอยซื้อสะสมจังหวะอ่อนตัว หุ้นเด่นเป็น BBL, KBANK, TCAP กลุ่มโรงพยาบาล มองว่า Valuation สูงเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไร นอกจากนั้นยังมีหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ยังขยายตัวได้ดีทั้งในประเทศและ CLMV เช่น ANAN, KAMART, SEAFCO, GUNKUL, SAWAD, MTLS, GL, TKN, TMT, SYNEX เป็นต้น สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น GUNKUL
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก อ่อนตัวต่ำกว่า 1410 ดูไม่ดี ควรลดพอร์ตตาม ส่วนปรับขึ้นต่อมีแนวต้านระยะสั้น 1430-1440, 1450 จุด
การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ BCH, CHG, VIBHA, KAMART, PTG, THANI ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ FSMART, SYNEX, VGI หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ BTSGIF, AP, SPA, KTC, BEM, EPCO, HMPRO, CKP, ILINK หุ้นที่หลุด List -ไม่มี-
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- S&P และ Fitch Ratings ประกาศปรับลดเครดิต UK
สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) และฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอังกฤษ อันเนื่องมาจากผลกระทบของ Brexit โดย S&P ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของอังกฤษลง 2 ขั้น สู่ระดับ "AA" จากระดับ "AAA" ด้านฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอังกฤษลงสู่ระดับ "AA" จากระดับ "AA+" และทั้งสองสำนักฯเตือนว่า อังกฤษอาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอีกเนื่องจากผลพวงของ Brexit
- อลัน กรีนสแปน มอง Brexit เลวร้ายยิ่งกว่า Black Monday เพราะปัญหาฝังรากลึกและจะไม่หายไป
นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า Brexit ได้นำมาซึ่งช่วงเวลาที่เลวร้ายยิ่งกว่าเหตุการณ์แบล็คมันเดย์ในเดือนต.ค.1987 ซึ่งดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 23% และคิดว่าเป็นจุดต่ำสุดของปัญหาทั้งหมด (จบตรงนั้น) แต่ Brexit ในครั้งนี้น่าวิตกมากกว่า เพราะปัญหาจะฝังลึกและไม่หายไป
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ และยุโรป ยังร่วงลงต่อในวันจันทร์ แม้ว่าตลาดหุ้นเอเชียหลายแห่งจะรีบาวด์แล้วก็ตาม ทั้งนี้เพราะมองไปข้างหน้ายังเห็นปัญหาความไม่แน่นอนอีกมาก โดย UK และ EU จะต้องเจรจาหาข้อตกลงทางการค้าและการลงทุน รวมถึงประเด็นกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะตกลงกันง่ายๆ)
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย อาจไม่ได้จำกัดอย่างที่คาดก็ได้ เพราะเราคงพิจารณาผลกระทบจากสัดส่วนการส่งออกนำเข้าที่เกิดขึ้นในอดีตกับ UK และ EU ไม่ได้ เนื่องจากยังมีผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและสถานการณ์เศรษฐกิจโลกซึ่งมีความซับซ้อนของปัญหาที่มากกว่าในอดีตเข้ามาด้วย ที่อาจทำให้ผลกระทบจากประเด็น Brexit มากกว่าที่คาดการณ์ไว้
- Brexit อาจทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยในปี 60
ทางมอร์แกน สแตนลีย์ออกรายงานเตือนว่าเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยปี 60 เนื่องจากจากผลกระทบ Brexit โดยระบุว่ายุโรปเป็นคู่ค้ารายใหญ่กับสหรัฐและจีน จึงเกิดผลกระทบในระดับโลก และการแข็งค่าของดอลลาร์ก็ไม่เป็นผลดีต่ออุปสงค์น้ำมัน
ด้านโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะเข้าสู่ภาวะ "ถดถอยเล็กน้อย" ในช่วงต้นปี 2560 เนื่องจากผลกระทบของ Brexit และได้รับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลง 0.1% มาอยู่ที่ระดับ 3.1%
- ตลาดหุ้นยุโรป & สหรัฐ ร่วงลงต่อ
ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงประมาณ 3-4% (ตลาดหุ้นอิตาลีลดลง 4%, ตลาดหุ้นเยอรมนีและฝรั่งเศสลดลง 3% ส่วนตลาดหุ้นอังกฤษลดลง 2.6%) ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐปิดลดลงเช่นกัน โดยดัชนี DJIA ปิด 17,140.24 จุด -260.51 จุด หรือ -1.50% ทั้งนี้นักลงทุนยังคงวิตกกังวลกับผลกระทบจากการที่ UK จะถอนตัวออกจาก EU ทั้งผลกระทบกับภาคการเงินและภาคเศรษฐกิจจริง แม้ว่าการออกจาก EU จะมีกระบวนการที่ต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 2 ปีก็ตาม ทาง Fitch Ratings และ S&P ก็ประกาศลดอันดับเครดิต UK และนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักประเมินว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 60 และเศรษฐกิจโลกก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน
- ราคาน้ำมันดิบลดลงเกือบ 3%
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 1.31 ดอลลาร์ หรือ 2.8% ปิดที่ 46.33 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 1.25 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 47.16 ดอลลาร์/บาร์เรล เพราะกังวลผลกระทบจาก Brexit จะทำให้อุปสงค์น้ำมันลดลง เนื่องจากสหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐและจีน
+/+ ราคาทองคำขยับขึ้นต่อเล็กน้อย...ระยะสั้นมีแรงขายทำกำไรสลับออกมา
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ปิดขยับขึ้น 2.30 ดอลลาร์ หรือ +0.17% ที่ระดับ 1,324.70 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยในระหว่างซื้อขายสัญญาฯขึ้นไปสูงสุดที่ 1335.22 ดอลลาร์แล้วถูกขายทำกำไรลงมาเหลือปิดบวกเพียงเล็กน้อย
- ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและเยนแข็งขึ้น
เมื่อวานนี้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์เทียบกับ 6 สกุลหลักแข็งขึ้นสู่ระดับ 96.366 จาก 95.899 ในวันก่อนหน้าและจาก 93.211 ใน 2 วันที่แล้ว ขณะที่ค่าเงินเยนก็แข็งขึ้นเป็น 101.87 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ จาก 102.21 ในวันก่อนและ 106.528 ใน 2 วันที่แล้ว สะท้อนความกังวลผลกระทบ Brexit ทำให้มีการโยกย้ายเงินไปพักไว้ที่ดอลลาร์สหรัฐและเยนซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าสกุลเงินหลักอื่นๆ ส่วนเช้าวันนี้ค่าเงินทั้งสองสกุลทรงตัวใกล้ระดับปิดเมื่อวานนี้
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ GUNKUL (ราคาปิด 5.35 บาท) : กำไรเติบโตแกร่งในปี 59-60
ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ประมาณการอัตราการเติบโตกำไรสุทธิเฉลี่ยปี 59-60 ไว้ที่ 47% ต่อปี โดย Key Growth หลักมาจากธุรกิจพลังงานทดแทน (แสงอาทิตย์และลม) ซึ่งในปี 58 สัดส่วนรายได้ธุรกิจยังน้อยมาก (โดยมีรายได้ส่วนนี้ 51 ล้านบาทจากรายได้รวม 4.46 พันล้านบาท) แต่ในปี 59 จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 1.04 พันล้านบาท คิดเป็น 17% ของรายได้รวม แล้วเป็น 29% และ 35% ของรายได้รวมในปี 60-61 ตามลำดับ และธุรกิจนี้มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานสูงมากที่ 62-67% ทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 23% ในปี 58 เป็น 29%, 35% และ 38% ในปี 59-61 ตามลำดับ (ธุรกิจอุปกรณ์ไฟฟ้ามีอัตรากำไรประมาณ 22-23%, ธุรกิจก่อสร้างมีอัตรากำไรราว 15-20% และธุรกิจบริการมีอัตรากำไร 48%) ทั้งนี้ในปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 324 MW ผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว 26% ส่วนที่เหลือกำลังก่อสร้างจะทยอยเข้ามาใน 2-3 ปีข้างหน้า และคาดว่ากำลังการผลิตไฟฟ้า (แสงอาทิตย์และลม) จะเพิ่มเป็น 336.5 MW ภายในสิ้นปี 61
แนะนำซื้อ โดยประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 6.00 บาท (วิธี Sum-of-parts) โดยให้มูลค่าธุรกิจไฟฟ้าเท่ากับ 3.90 บาท (วิธี DCF) และให้มูลค่าธุรกิจอุปกรณ์ไฟฟ้า 2.10 บาท (วิธี P/E) เราชอบบริษัทเพราะมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งในช่วง 3 ปีข้างหน้า หนุนโดยธุรกิจไฟฟ้าพลังงานทางเลือก และยังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้ดีในระยะยาวจากการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับไฟฟ้าในประเทศกลุ่ม AEC โดยเฉพาะในเมียนมาร์และลาว ส่วนปัจจัยเสี่ยงหลัก คือ การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์และลมที่ล่าช้ากว่าคาด ปริมาณไฟฟ้าจากแผงที่ได้น้อยกว่าประมาณการ การลงทุนในโรงไฟฟ้าและความต้องการใช้วัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้าที่น้อยกว่าคาด
+ SAWAD (ราคาปิด 38.75 บาท) : ซื้อหุ้น 9.84% ใน BFIT @ 8 บาท/หุ้น (ต่ำกว่าราคาตลาด & BVS)
บริษัทรายงานตลาดฯว่าเมื่อ 27 มิ.ย.59 ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทเงินทุนกรุงเทพธนาทร (BFIT) จำนวน 19.68 ล้านหุ้น หรือ 9.84% ที่ราคาหุ้นละ 8 บาท (ต่ำกว่าราคาตลาดที่ 8.60 บาท และต่ำกว่า BVS ณ สิ้นมี.ค.59 ที่ 10.42 บาทด้วย) โดยมูลค่ารายการซื้อขายเมื่อรวมค่าธรรมเนียมจะอยู่ที่ 157.72 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อจากนางสาวเสาวคนธ์ ลิมอักษร และนางสาวสุภิดา ฉัตราภิรักษ์ หลังเข้าซื้อครั้งนี้ SAWAD จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ใน BFIT โดยคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลและการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ
สำหรับผลประกอบการปี 58 ของ BFIT บริษัทมีสินทรัพย์ 5.3 พันล้านบาท มีรายได้รวม 321 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 98 ล้านบาท ส่วนใน 1Q59 มีรายได้รวม 72 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 26 ล้านบาท บริษัทให้ Dividend Yield เฉลี่ยย้อนหลัง 4 ปีที่ 6.1% ต่อปี ซึ่งอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยที่ประมาณ 3-3.5%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]