- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 28 June 2016 16:02
- Hits: 865
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
หลังจากซื้อแล้วให้เน้นถือเพื่อรอรอบบวกใหญ่ แต่ซื้อเพิ่มน่ารออ่อนตัว!
ตลาดหุ้นวานนี้ : แม้ SET จะผันผวนไปบ้าง แต่ก็กลับมาแกว่งตัวด้านบวกได้ดีทั้งวัน หลังจากปลายสัปดาห์ที่แล้วดัชนีไหลลงแรงรับข่าวลบเรื่อง Brexit ไปพอควร
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจาก Brexit ยังคงกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกต่อเนื่อง โดยตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ยังเปิดลบอีก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงเท่าตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป แต่ก็น่าจะสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทย ขณะที่วานนี้ SET รีบาวด์กลับขึ้นเป็นบวกไปพอควรแล้วด้วย ทำให้มีโอกาสที่จะมีแรงขายทำกำไรลดความเสี่ยงออกมากดดัน SET ให้ยังแกว่งตัวผันผวนและอ่อนตัวลงได้อยู่ นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อ่อนแอลงอีกครั้ง ก็เป็นแรงกดดันให้หุ้นกลุ่มพลังงานในบ้านเราด้วย อย่างไรก็ตาม FSS ยังคาดหมายว่าช่วงที่ SET ปรับตัวลงจะมีแรงซื้อพยุงตลาดเข้ามาหนุนให้ดัชนีมีโอกาสพลิกกลับไปขยับขึ้นรอบใหม่ได้ และยังลุ้นโอกาสขึ้นหาระดับดัชนีตามพื้นฐานที่ 1500 จุดในช่วงถัดไปตามคาดเดิม
กลยุทธ์ : หลังจาก FSS แนะนำให้เลือกหุ้นซื้อช่วงตลาดลบไปแล้ว ถัดจากนี้เน้นถือเพื่อรอรอบบวกจริงจังต่อไป อย่างไรก็ตามยังต้องระวังการแกว่งตัวผันผวน ดังนั้นถ้าจะเลือกหุ้นซื้อเพิ่มยังรอช่วงตลาดแกว่งอ่อนตัวได้
แนวรับ 1422-1418 , 1415-1410 จุด
แนวต้าน 1426-1430 , 1434-1438 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : ARROW, MAJOR, TTCL(short)
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$105ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$107ล้าน และไทย US$37.5ล้าน ขณะที่ไหลเข้าอินโดนีเซีย US$59ล้าน และฟิลิปปินส์ US$11 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนยังผันผวนจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากเหตุการณ์ Brexit ที่ยังมีความไม่แน่นอนหลายด้าน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามการประชุมของธนาคารกลางต่างๆที่ต่างประกาศความพร้อมที่จะใช้มาตรการด้านการเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบ
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(0) การปรับฐานยังดำเนินต่อไป ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาหลังจาก Brexit ตลาดหุ้นที่กระทบมากสุดยังคงเป็นยุโรป (-11%) ส่วนตลาด DM อื่น -7% ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชีย -4% ราคา Commodity โดยเฉพาะน้ำมันถูกกระทบหนักเช่นกันลดลง 6-7% เพราะถูกกดดันจากดอลาร์ที่แข็งค่าและความวิตกว่า Demand จากยุโรปจะลดลง การปรับพอร์ตของต่างชาติยังดำเนินต่อไปในสินทรัพย์ต่างๆ เรายังมองเหตุการณ์นี้กระทบพื้นฐานตลาดหุ้นไทยจำกัดและชั่วคราว ยังเน้น Domestic plays กลุ่มรับเหมา วัสดุ ไฟแนนซ์ ค้าปลีก
(+) ADVANC เราคาดกำไรปกติ 2Q16 +9.1% Q-Q, +2.2% Y-Y เพราะแจกมือถือให้ลูกค้าลดลง แต่แนวโน้ม 2H16 ผลประกอบการจะชะลอเพราะจะเริ่มรับรู้ต้นทุนใบอนุญาต 900 MHz และค่าเช่าอุปกรณ์จาก TOT หลังสิ้นสุดช่วงเวลาเยียวยา เรายังคาดกำไรทั้งปี -20% Y-Y เหลือ 3.08 หมื่นล้านบาท กำไรส่วนใหญ่ 58% จะอยู่ใน 1H16 แต่ราคาหุ้นปรับลงมาจน upside กว้างขึ้น ที่ราคานี้คาด Dividend yield 6.6% จึงเพิ่มคำแนะนำเป็นซื้อ ราคาพื้นฐาน 180 บาท
(+) TCAP แจ้งลดทุนจากการตัดหุ้นที่ซื้อคืนและไม่ได้ขายออก (หมดเวลาขายคืนแล้ว) จำนวน 71.35 ล้านหุ้น หรือ 5.6% ของทุนเดิม จะทำให้ EPS และ BVPS เพิ่มขึ้นราว 6% และ ROE เพิ่มเล็กน้อยเป็น 11.6% ซึ่งเรารวมในประมาณการแล้ว แนวโน้มกำไร 2Q16 คาดเพิ่มสวนทางกลุ่ม +4.4% Q-Q, +1% Y-Y แม้จะถูกกระทบจากการลดดอกเบี้ยเงินกู้ แต่ชดเชยด้วยการตั้งสำรองฯที่ลดลง เราคาดกำไรทั้งปีนี้ +16.8% Y-Y เป็นหนึ่งในไม่กี่แบงก์ที่กำไรโต จากสำรองฯที่ลดลงและ tax benefit แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 48 บาท
(+) BEM หลังจากบอร์ดรฟม.เห็นชอบให้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย "บางซื่อ-ท่าพระและหัวลำโพง-บางแค" 27 กม. มูลค่า 22,895 ล้านบาท เป็นการเจรจาตรงกับ BEM เพื่อให้การเดินรถเป็นไปอย่างต่อเนื่องกับสีน้ำเงินเดิมที่ BEM ได้สัมปทานถึงปี 2029 หลังจากที่ก่อนหน้านี้คุยกันว่าอาจเปิดประมูลใหม่ ขณะนี้รฟม.ได้เสนอเรื่องไปที่สคร.และบอร์ด PPP หากเห็นชอบ จะเสนอครม.ให้อนุมัติภายใน ส.ค. และเซ็นสัญญา ต.ค. เพื่อให้การเดินรถสถานีบางซื่อ-เตาปูน (1 สถานีเพื่อเชื่อมต่อสีม่วงกับสีน้ำเงิน) ทัน 5 ธ.ค. ราคาพื้นฐาน 6 บาทของเรายังไม่รวมงานใหม่ในอนาคตที่ BEM มีโอกาสมาก ยังคงแนะนำซื้อ
(0) SAWAD ซื้อหุ้น BFIT 19.68 ล้านหุ้นหรือ 9.84% ของทุนชำระแล้ว ที่ราคาหุ้นละ 8 บาทจากผู้ถือหุ้นเดิม 2 ราย เราคาดว่าดีลนี้จะไม่ได้มีผลต่อ SAWAD อย่างมีนัยสำคัญ เราคาด SAWAD จะได้ปันผลปีละประมาณ 7 ล้านบาท (0.4% ของกำไรของ SAWAD) คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินลงทุน 4.4% ต่อปี น้อยกว่าผลตอบแทนจากธุรกิจหลักที่ SAWAD ทำได้เองที่ ROE กว่า 30% ถือเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า โดยรวมแล้วดีลนี้ไม่กระทบประมาณการของเรา ยังคงราคาพื้นฐาน 53.80 บาท คงคำแนะนำซื้อ ส่วน BFIT หมดประเด็นเก็งกำไรแล้ว ควรขายทำกำไร
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมายังปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยนักลงทุนตอบรับเชิงลบต่อ Brexit โดยล่าสุด S&P และ Fitch ออกมาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอังกฤษลง
(-) ส่วนตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดลบแรงต่อเนื่องเช่นกันหลังสหราชฯอาณาจักรตัดสินใจออกจากสหภาพยุโรป
(-) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ยังเปิดในแดนลบตามตลาดหุ้นภูมิภาคอื่นเช่นกันจากบรรยากาศการลงทุนที่ไม่สดใส
(0) ค่าเงินบาทแกว่งตัวผันผวน ล่าสุดยังเคลื่อนไหวในกรอบ 35.20-35.35 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. ร่วงลง 1.31 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 46.33 ดอลลาร์/บาร์เรล จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าต่อเนื่อง รวมถึงนักลงทุนยังกังวลผลกระทบจาก Brexit
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 2.30 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,324.70 ดอลลาร์/ออนซ์ สูงสุดในรอบกว่า 2 ปี โดยนักลงทุนยังเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
28 มิ.ย. - สหรัฐ: 1Q16GDP (ตัวเลขสุดท้าย), ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (มิ.ย.)
29 มิ.ย. - ไทย: ศาลรธน.วินิจฉัย ม.61 วรรคสอง ของพ.ร.บ.ออกเสียงประชามติ ขัดรธน.หรือไม่ (ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการออกความเห็น)
- สหรัฐ: รายได้ส่วนบุคคล (พ.ค.), Pending Home Sales (พ.ค.)
- ยูโรโซน: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (มิ.ย.)
30 มิ.ย. - ไทย: ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน พ.ค.
- สหรัฐ: ผู้ขอรับสวัสดการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์
- ยูโรโซน: อัตราเงินเฟ้อ (มิ.ย.)
1 ก.ค. - ไทย: ตลาดหุ้นไทยปิดทำการ, อัตราเงินเฟ้อ (มิ.ย.), ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ(มิ.ย.)
- จีน: Manufacturing and Non-Manufacturing PMI (มิ.ย.)
- ญี่ปุ่น: ดัชนี Tankan (2Q16)
- ยูโรโซน: Markit Eurozone Manufacturing PMI (มิ.ย.)
Contact person : Somchai Anektaweepon
Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852
www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch