- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 27 June 2016 17:55
- Hits: 893
บล.ยูโอบีเคย์เฮียน : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
UOBKH แนวโน้มตลาดวันนี้ : แกว่งตัวออกด้านข้าง
ทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดจะแกว่งตัวออกด้านข้าง จากการขาดปัจจัยบวกใหม่ๆมาสนับสนุนตลาดขณะที่ตลาดหุ้นในต่างประเทศยังคงมีความผันผวนอยู่ หลังผลการลงคะแนนประชามติ BREXIT เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาพบว่าโหวตออกชนะที่อัตราส่วน 52% ต่อ 48% ด้านผลกระทบต่อประเทศไทยคาดว่าจะไม่มากนัก เนื่องจากมูลค่าการส่งออกจากไทยไปยังอังกฤษน้อยกว่า 2% ของมูลค่าการส่งออกรวม การปรับตัวลงแรงของตลาดถือเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นพื้นฐานดีและมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง
แนวรับ/แนวต้าน : 1390/1420 สัดส่วนการลงทุน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
กลยุทธ์ : ซื้อหุ้น กลุ่ม โรงกลั่น ท่องเที่ยว รับเหมา
หุ้นแนะนำ
MCS (13.0) : กลุ่มลูกค้าหลักอยู่ในประเทศญี่ปุ่นจึงได้รับผลประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินเยนที่อยู่ที่ 0.35 บาท/เยน เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 0.28 บาท/เยน โดยปัจจุบันมี backlog ประมาณ 200,000 ตัน ทยอยรับรู้เป็นเวลา 4 ปี นอกจากนี้ MCS เพิ่งลงทุนติดตั้งเครื่องจักรอัตโนมัติ คาดว่าจะทำให้บริษัทฯมีกำไรเพิ่มปีละประมาณ 150 ล้านบาท (ทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 2H60) ทั้งนี้ MCS ซื้อขายที่ PEปี 59 เพียง 8 เท่า และคาดอัตราปันผลที่ประมาณ 6%
ERW (6.20) : ตัวเลขสัดส่วนของนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาประเทศไทยทำระดับสูงสุดใหม่ใน 1Q59 ที่ 8.7% จาก 6.9% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน สวนทางกับตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนในประเทศฮ่องกงและมาเก๊าที่ลดลง ผลประกอบการ 2Q59 มีลุ้นเป็ นบวกครั้งแรกในรอบหลายปี ERW เป็ นหุ้นในกลุ่มโรงแรมที่ได้รับผลบวกจากนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด อีกทั้งปีนี้มีวันหยุดยาวหลายวัน ทั้งนี้ปัจจุบันราคาหุ้นยังขึ้นมาไม่มากหากเทียบกับหุ้นในกลุ่มโรงแรม
GCAP (3.50) : ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นโครงการสนับสนุนเงินทุนด้านการผลิต โครงการพักชำระหนี้เงินต้น และโครงการประกันภัยนาข้าว ทั้งนี้ GCAP มี market share สินเชื่อรถเกี่ยวข้าวสูงสุดในประเทศ อีกทั้งคาดผลประกอบการในช่วงครึ่งปี หลังจะดีกว่าช่วงต้นปี จากการเข้าสู่ช่วง high season ซึ่งเป็นฤดูเกี่ยวข้าว การเปลี่ยนจาก el nino เป็น la nina ทำให้เอื้อต่อการทำเกษตรกรรม และธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
CK (35.50) : คาดกำไร 2Q59 โดดเด่นอย่างมาก เนื่องจากอาจมีการรับรู้งานส่วนเพิ่มเติมในโครงการเขื่อนไซยะบุรีมูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านบาท (ปกติรายได้ประมาณไตรมาสละ 9 พันล้านบาท) อีกทั้งคาดว่าจะมีงานประมูลของทางภาครัฐและเอกชนออกมาเรื่อยๆไม่ว่าจะป็นโครงการรถไฟฟ้าสายสี ส้ม เหลือง ชมพู และสุวรรณภูมิเฟส 2 นอกจากนี้ CK ได้รับผลประโยชน์จากการเป็ นผู้ถือใหญ่ในบริษัทฯ BEM CKP และ TTW ซึ่งอยู่ในอุตสาหกกรมที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มเติบโต
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุน
ปัจจัยภายในประเทศ
+ “สมคิด” เร่งเดินหน้า “ไทยแลนด์4.0” หวังปรับโฉมเศรษฐกิจ หวัน่ ความวุ่นวายการเมือง ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน มั่นใจนโยบายเปิ ดกว้างนักลงทุนจะทำให้การเปลี่ยนแปลงการเมืองไม่ส่งผลทิศทางประเทศ ขณะ “ประเสริฐ” เผยนำร่อง 2 อุตฯ เป้ าหมาย “ปิโตรเคมีชั้นสูง-ชีวภาพ” ใน 3 จังหวัดตะวันออก หวังเป็นฐานดันผลักดันอุตสาหกรรมอื่น คาดเกิดลงทุน 8 แสนล้านใน 5-10 ปี
+ “กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์” ขานรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ยกระดับอุตสาหกรรม “นิสสัน” มั่นใจไทยพร้อมก้าวสู่ยุคพลังงานไฟฟ้ า แนะสร้างการรับรู้เพิ่มแรงจูงใจสร้างดีมานด์ แข่งขันเชื้อเพลิงฟอสซิล “อีซูซุ” จี้เพิ่มความเข้มข้นอาร์แอนด์ดี วอนรัฐปรับกฎระเบียบภาษีหนุนพัฒนาเทคโนโลยี ด้าน “ฮอนด้า” ชี้ลงทุนศูนย์ทดสอบ ยกระดับเทคโนโลยียานยนต์ไทย
+ “คลัง” สั่งบสย.เข้าค้ำประกันสินเชื่อกลุ่มสตาร์ทอัพ วงเงิน 1 หมื่นล้าน พร้อมอุดหนุนภาระค่าธรรมเนียมช่วงแรกของการทำธุรกิจและเพิ่มสัดส่วนรับภาระหนี้เสียกับสถาบันการเงิน ระบุมาตรการทางการเงินและการคลังมากเพียงพอสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพ
- นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการ บริษัท มหาบูรพาผลิตภัณฑ์อาหาร ในฐานะรองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิ ดเผยว่า ผลกระทบเบื้องต้นจากการที่สหราชอาณาจักร (ยูเค) นำโดยอังกฤษ ลงประชามติออกจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือเบร็กซิต คาดผลจากค่าเงินปอนด์ของอังกฤษที่อ่อนค่าลง มีผลต่อการส่งออกกลุ่มอาหารไทยไปอังกฤษ ที่ปริมาณจะลด 10% แต่ยังไม่น่ากังวลมาก เพราะต้องใช้เวลากว่า 2 ปี การทำขั้นตอนถึงจะเสร็จ
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ตลาดหุ้นสหรัฐปิดดิ่งลงรุนแรงที่สุดในรอบ 10 เดือนในวันศุกร์ หลังการตัดสินใจของอังกฤษที่จะออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ส่งผลกระทบต่อตลาด โดยหุ้นกลุ่มการเงินร่วงลง 5.4% ซึ่งเป็นการร่วงลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2011 ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิ ดร่วง 610.32 จุดหรือ 3.39% สู่ 17,400.75 ดัชนี S&P 500 ปิ ดดิ่งลง 75.91 จุดหรือ 3.59% สู่ 2,037.41 และดัชนี Nasdaq ปิดลง 202.06 จุดหรือ 4.12% สู่ 4,707.98
+ ราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐพุ่งขึ้นมากถึง 8% สู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี ในวันศุกร์ หลังอังกฤษลงประชามติออกจากสหภาพยุโรปหรือ Brexit ซึ่งส่งผล กระทบต่อตลาดทั่วโลก โดยนักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงและเข้าซื้อทองซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
- ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปิ ดร่วงลง 5% ในวันศุกร์ หลังการลงประชามติของ อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) กระตุ้นการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและหนุนสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ดอลลาร์ ซึ่งถ่วงตลาดน้ำมันโลกลงหลังฟื้นตัวมานาน 3 เดือน ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนส.ค.ปิดร่วงลง 2.47 ดอลลาร์ หรือ 5% สู่ระดับ 47.64 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็ นการร่วงลงวันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาดลอนดอนปิ ดร่วงลง 2.50 ดอลลาร์หรือ 4.9% สู่ระดับ 48.41 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังดิ่งลงถึง 6% ในช่วงเช้าสู่ 47.54 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์ : ยศพณ แสงนิล , CFA
Email : [email protected] Tel: 02 659 8154