- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 20 June 2016 17:24
- Hits: 1587
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ประเด็น Brexit ยังมีความเสี่ยง แต่ผลการสำรวจคนอังกฤษล่าสุด อยากอยู่ยูโรโซนต่อ หนุนความเชื่อมั่น และสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะน้ำมันฟื้นตัวแรง วันนี้เลือก PTT(FV@B342) และ PTTEP(FV@89) เป็น Top picks และยังแนะให้สะสมหุ้นเติบโตเด่น WORK และหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง คือ ASK, TCAP
ผลสำรวจาล่าสุด คนอังกฤษอยากอยู่ยุโรปต่อหนุนสินทรัพย์
ยิ่งใกล้วันลงประชามติของสหราชอาณาจักร(Brexit) ต่อการออกจากสหภาพยุโรป กลางสัปดาห์นี้ (23 มิ.ย. นี้) ผลสำรวจหลายสื่อ ยังคงพลิกไปพลิกมาจากสัปดาห์ก่อนหน้า ผลสำรวจยังคงให้น้ำหนักต่อการออกจากสหภาพยุโรปมากกว่า แต่ผลสำรวจล่าสุดของ Bloomberg กลับเป็นว่า คนอังกฤษส่วนใหญ่ 45% ยังอยากอยู่ในยุโรปต่อ และน้ำหนักทางฝั่งที่อยากออกลดลงเหลือ 42% และ 13% ไม่แสดงความเห็น (ไม่เปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้านี้มากนัก) หลังจากปลายสัปดาห์ที่แล้ว มีการลอบทำร้าย ส.ส. หญิง โจ ค็อกซ์ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนให้อังกฤษอยู่ต่อในยุโรป จนเสียชีวิต ทำให้การรณรงค์ทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านหยุดไปชั่วคราว
เชื่อว่ากระแสการออกจากยุโรป ประชาชนน่าจะเริ่มรับรู้ข่าวสาร ถึงผลกระทบต่าง ๆ มากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะผลกระทบทางการค้า ซึ่งปัจจุบัน อังกฤษ ต้องพึ่งพาการค้ากับสหภาพยุโรป สูงถึง 50% ต่อมูลค่าการค้าทั้งหมดของอังกฤษ โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญไปในสหภาพยุโรป คือ รถยนต์ และชิ้นส่วนเครื่องยนต์เป็นหลัก และอังกฤษถือเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในการเข้าสู่กลุ่มยูโร ขณะที่อังกฤษยังเป็นศูนย์กลางทางด้านการเงินของกลุ่มฯ มีบริษัทการเงินขนาดใหญ่หลายแห่งของโลกมาตั้งสำนักงานใหญ่ในอังกฤษ อาทิ HSBC (อังกฤษมีรายได้จากภาคการเงินราว 12% ของเศรษฐกิจรวม) ทั้งนี้ยังมิได้ประเมินผลกระทบอื่น ๆ อาทิ การลงทุนที่อยู่ระหว่างดำเนินการ หรือที่พัฒนาร่วมกันเช่นในเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ได้แก่ สายส่งไฟฟ้า สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ยังเป็นเรื่องที่น่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน
ผลสำรวจล่าสุด กลับมาช่วยลดความกังวล ประกอบกับค่าเงิน Dollar Index มีทิศทางอ่อนค่าอยู่ที่ 93.75 จุด เพราะคาดว่าโอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ มีน้ำหนักการขึ้นไปในช่วงปลายปี และอาจจะปรับขึ้นเพียง 1 ครั้ง ซึ่งล้วนช่วยหนุนสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ น้ำมัน จึงยังแนะนำสะสม PTTEP(FV@B89) เมื่อราคาอ่อนตัว และ PTT(FV@B342)
สถานีไฟฟ้าห้วยบง 3 ระเบิด กระทบ RATCH จำกัด
วานนี้เกิดเหตุระเบิด ที่สถานีควบคุมการจ่ายไฟฟ้ากังหันลม ที่ ต.ห้วยบง อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ ทั้งนี้โรงไฟฟ้าย่อยดังกล่าวเกิดขึ้น โรงไฟฟ้าพลังงานลมหัวยบง 3 ซึ่งติดกับโรงไฟฟ้าห้วยบง 2 จึงคาดว่าน่าจะมีปัญหาเช่นกัน ทั้งนี้ปัจจุบัน RATCH ถืออยู่ 20% ในโรงไฟฟ้าห้วยบง 2 และ ห้วยบง 3 ที่เหลือถือหุ้นโดย Win Energy ถือ 60%( ซึ่งมีการถือหุ้นไข้วโดย DEMCO 15%) และที่เหลือถือ 20% ถือหุ้นโดยบริษัท จูบุ อิเล็กทริค พาวเวอร์ ทั้งนี้ปัจจุบัน โรงไฟฟ้า ห้วยบง 2 และ ห้วยบง 3 มีกำลังผลิตไฟฟ้าแห่งละ 103.5 MW. หรือมีกำลังไฟฟ้ารวมกัน 2 โรงเท่ากับ 207 MW แต่เมื่อคำนวณเฉพาะในสัดส่วนที่ RATCH ถืออยู่ จะมีกำลังไฟฟ้าสุทธิราว 41.40 MW. หรือคิดเป็นเพียง 0.83% ของกำลังการผลิตทั้งหมดของ RATCH (5000 MW) ถือว่าน้อยมาก จึงคาดว่าผลกระทบต่อ RATCH ในครั้งนี้ไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ โรงไฟฟ้าห้วยบง 2 และ 3 มีปัญหาเสากังหันลมฐานรากร้าว แต่ได้รับเงินการชดเชยจาก DEMCO ตามสัญญา เพราะเป็นผู้สร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมดังกล่าว แต่เมื่อเกิดการระเบิดในครั้งนี้ คาดว่าอาจจะต้องมีบริษัทประกันมาเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อชดเชยค่าใช่จ่ายดังกล่าวแทนหรือไม่ ขึ้นกับว่าในสัญญามีการทำประกันภัยคุ้มครองครอบคลุมความเสี่ยงเพียงใด
ขณะที่ในประมาณการของ RATCH ได้ประเมินว่าการซ่อมเสากังหันลมฯ จะเสร็จอย่างสมบูรณ์ในปลายปี 2559 เหตุการณ์ครั้งนี้จึงไม่มีผลกระทบต่อประมาณการ แต่น่าจะกระทบต่อ Sentiment เชิงลบต่อ RATCH(FV@B60) ดังนั้นหากราคาหุ้นย่อตัว จึงเป็นจังหวะเข้าซื้อสะสม
คาดผลกระทบจากที่เลิกใช้บริการของ CTH น่าจะสะท้อนในราคาหุ้น THCOM
ราคาหุ้น THCOM ทรุดตัวอย่างหนักในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมากว่า 11.3% สาเหตุหลักมาจากการที่ THCOM สูญเสียลูกค้า CTH ซึ่งใช้งานดาวเทียมไทยคม 5 และ 6 ไม่สามารถประมูลลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกกลับมาได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมมากเท่ากับช่วงที่ได้สิทธิ์ใน 3 ปีที่ผ่านมา และกำลังพิจารณายกเลิกใช้ดาวเทียมไทยคม ซึ่งเป็นช่องทางออกอากาศบางส่วน
ความต้องการใช้งานดาวเทียม เพื่อเผยแพร่สัญญาณภาพทีวีในประเทศ มีแนวโน้มสดใส หลังการ ประมูลทีวีดิจิตอลในหลายปีที่ผ่านมา (ทั้งผู้ให้บริการทีวีบอกรับสมาชิก ผู้ให้บริการทีวีดาวเทียม รวมไปถึงผู้ให้บริการทีวีดิจิตอล) แต่คาดว่ามีแนวโน้มทรงตัว – ชะลอลตัว หลังจากผู้ให้บริการทีวีดิจิตอลยุติการออกอากาศไปแล้ว 2 ช่อง และยังมีอีก 5 ช่อง ที่ประสบปัญหาด้านการเงิน และไม่สามารถจ่ายเงินค่าใบอนุญาตงวดที่ 3 (เม็ดเงินโฆษณาช่องทีวีดาวเทียมที่ลดลงต่อเนื่อง โดย YTD เหลือเพียง 4.4% ลดลงจากปีก่อนที่สูง 4.7% กระทบให้ช่องทีวีดาวเทียมใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นมีแนวโน้มลดลง)
ผลกระทบในครั้งนี้จึงเกิดกับ THCOM โดยตรง เพราะ ปัจจุบัน CTH ได้ยกเลิกใช้งานดาวเทียมไทยคม 5 ไปแล้วราว 5 ทรานสปอนดอร์ ซึ่งคิดเป็น 13% ของกำลังการให้บริการไทยคม 5 และคิดเป็น 6.4% ของกำลังการให้บริการทั้งหมด (ไม่รวม iPSTAR) ซึ่งคาดว่าจะกระทบรายได้ปีนี้หายไปราว 350-400 ล้านบาท และกระทบกำไรสุทธิปีนี้ราว 8% และปีหน้า 20% ทั้งนี้ไม่รวมโอกาสที่ THCOM อาจจะได้รับลูกค้ารายใหม่ โดย THCOM มีแผนจะขายกำลังให้บริการดาวเทียมดวงอื่น ๆ ชดเชย เช่นการใช้งานประเภทอินเตอร์เนต โดยเฉพาะ iPSTAR (ไทยคม 4) ที่ยังมีกำลังให้บริการเหลืออยู่ พร้อมที่จะให้บริการกับผู้ให้บริการมือถือในต่างประเทศ ซึ่งแสดงความสนใจต้องการใช้ iPSTAR เป็นโครงข่ายมือถือสำรอง
ในเบื้องต้น นักวิเคราะห์ ASPS ได้ประเมิน Fair Value ปี 2559 คาดว่าจะลดลงราว 13-20% หรือลดลงเหลือ ระหว่าง กลุ่ม 32-35 บาท แต่เป็นที่สังเกตว่าราคาหุ้น THCOM ลดลงจากระดับ 27 บาทในสัปดาห์ก่อนหน้าลงมา เหลือ 23.5 บาท พบว่าลดลงแล้วกว่า 14% น่าจะสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวไปแล้ว ระยะยาวทยอยสะสม แต่ระยะสั้นน่าจะรอให้ราคาหุ้นปรับฐานให้เสร็จก่อน
ความหวังว่าอังกฤษจะอยู่สหภาพยุโรปต่อ หนุนต่างชาติกลับมาซื้ออีกครั้ง
ผลการสำรวจประชาชนอังกฤษ ในประเทศ Brexit หนุนให้ ต่างชาติซื้อสลับขายหุ้นในภูมิภาคอีกครั้ง โดยวันศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 240 ล้านเหรียญ โดยซื้อทุกประเทศ ยกเว้น เกาหลีใต้ ที่ยังคงขายสุทธิราว 61 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 6) ส่วนที่เหลืออีก 4 ประเทศต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ คือ ไต้หวันซื้อสุทธิราว 186 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิพียงวันเดียว) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 66 ล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ 30 ล้านเหรียญ และไทย 20 ล้านเหรียญ หรือ 700 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิ 147 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงซื้อสุทธิราว 1.5 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิราว 1.3 ล้านบาท
กลยุทธ์การลงทุน เลือกหุ้นผันผวนน้อยกว่าตลาด : RATCH, TCAP, GLOW
ตรงกันข้ามแนะนำให้สะสมหุ้นที่มีเงินปันผล และ upside สูง มี P/E ต่ำ และ ความผันผวนของราคาหุ้นน้อยกว่าตลาด ดังปรากฏในตารางถัดไป
หุ้นผันผวนน้อย แต่เงินปันผลสูง คือ เป็นหุ้นที่มีค่า P/E ต่ำกว่า 12 เท่า, Beta ต่ำกว่า 1 เท่า, Dividend Yield ตั้งแต่ 4% มี upside ตั้งแต่ 14% ขึ้นไป และฝ่ายวิจัยแนะนำ ซื้อ โดยเลือก RATCH เป็น Top pick ในกลุ่มนี้
หุ้นปันผลสูง และ upside สูง คือ หุ้นที่มี Dividend Yield ตั้งแต่ 5% ขึ้นไป มี upside ตั้งแต่ 14% ขึ้นไป และฝ่ายวิจัยแนะนำ ซื้อ
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์