- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 16 June 2016 17:04
- Hits: 1432
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'จับตา Brexit ต่อ'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : DTAC (จากถือเป็น Fully Valued)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นเช่นเดียวกับตลาดภูมิภาค (SET Index +6.79 จุดปิดที่ 1434.89) หลังรมว.คลังอังกฤษออกไม้เด็ดว่าอาจเรียกเก็บภาษีเพิ่มถ้าอังกฤษต้องถอนตัวจาก EU นักลงทุนต่างชาติและพอร์ตบล.กลับเข้ามาซื้อสุทธิ 892 ล้านบาทและ 2.05พันล้านบาท ตามลำดับ สถาบันในประเทศนำขายสุทธิ 2.1 พันล้านบาทที่เหลือเป็นการขายสุทธิของรายย่อย
สำหรับผลประชุมเฟด ผิดกว่าที่เราคาดไว้ที่มีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ลงเป็น 2.0% จากเดิม 2.2% โดยระบุว่าภาคแรงงานและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขจีดีพีที่ปรับลงก็อยู่ใน Consensus และตลาดยังเชื่อว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้อย่างน้อย 2 ครั้ง ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงหลังประชุมเฟดแต่ไม่มาก เพราะความเสี่ยงเรื่อง Brexit ทำให้นักลงทุนยังถือครองดอลลาร์ต่อ ซึ่งขณะนี้ธ.กลางประเทศขนาดใหญ่กำลังเตรียมความพร้อม เพราะตลาดเงินอาจปั่นป่วนมากถ้าอังกฤษออกจาก EU (ประชาชนจะลงประชามติ 23 มิ.ย.นี้) ด้านการประชุมบีโอเจ(15-16 มิ.ย.) คาดว่าจะคงนโยบายการเงินผ่อนคลายไว้ที่เดิมก่อน (อัตราดอกเบี้ย -0.1% และเพิ่มฐานเงิน 80 ล้านล้านเยนต่อปี) ด้านปัจจัยในประเทศยังไม่มีประเด็นใหม่ด้านมหภาคที่มีนัยสำคัญ แต่ระดับดัชนีปัจจุบันก็หาหุ้นที่มี Upside จูงใจยากขึ้น (DBSV ทำเป้าหมาย SET Index ปีนี้ 1480 จุดเหลือUpside 3%) กลยุทธ์การลงทุน จึงเป็นการ Selective Play และเรายังคงชอบหุ้นอิงอุปสงค์ในประเทศ & CLMV+I ที่มีการเติบโตดีต่อเนื่อง/หรือธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว (ปัจจัยเสี่ยงภายนอกยังสูง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจฟื้นช้าและราคาน้ำมันผันผวน) หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น KAMART
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ การรีบาวด์ต่อมีแนวต้านระยะสั้น 1440-1450 จุด แนวตัดขาดทุน คือ ค่าลบ/หรือต่ำกว่า 1425 จุดการอ่อนตัวให้แนวรับไว้ที่ 1380, 1360-1350 จุด กลยุทธ์ ซื้อเก็งกำไร/ถือต่อเน้นเป็นค่าบวก หากอ่อนตัวต่อให้รอซื้อที่แนวรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ BTSGIF, KAMART, SEAFCO, TTCL ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน Listคือ EASTW, BCH, KBS, GLOBAL, BJC, CHG, TMT หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ BWG หุ้นที่หลุด List เป็น TCMC
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
•/- สหรัฐ : เฟดคงดอกเบี้ยไว้ที่เดิม...แต่ปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจ
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.25-0.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ พร้อมกับปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนี้ลงเป็น 2.0% จากเดิม 2.2% ที่คาดการณ์ไว้ในเดือนมี.ค.59 สะท้อนการจ้างงงานและการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตที่ปรับลดลงก็ไม่ได้แตกต่างจากที่สถาบันวิจัยฯต่างๆ ได้ประเมินไว้ (ทาง DBS Bank ประมาณการไว้ที่ 2.1% สำหรับปีนี้)นอกจากนั้นประธานเฟดระบุว่า Brexit เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้คณะกรรมการ FOMC ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ย Fedfund rate ในการประชุมรอบ 14-15 มิ.ย.นี้
+ อังกฤษ : ไม้เด็ดของรัฐบาลอังกฤษ...จะเก็บภาษีเพิ่มถ้าถอนตัวออกจาก EU
เมื่อวานนี้รัฐมนตรีคลังอังกฤษออกมากล่าวว่ารัฐบาลอาจต้องเรียกเก็บภาษีเพิ่ม ถ้าอังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) เพราะการชะลอตัวของการลงทุน การใช้จ่ายภาคครัวเรือน และเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลต้องหารายได้จากภาษีมาชดเชยเพื่อให้รัฐมีเงินใช้จ่ายและลงทุน เพราะถ้ารัฐบาลต้องลดการใช้จ่ายก็จะทำให้เศรษฐกิจอังกฤษย่ำแย่ลงไปอีก
-/• ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลดลงแต่ไม่มาก
ดัชนี DJIA ปิด -34.65 จุด หรือ -0.20% ดัชนี NASDAQ ปิด -8.62 จุด หรือ -0.18% และดัชนี S&P500 ปิด -3.82 จุด หรือ-0.18% หลังเฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมตามคาด แต่การปรับลดคาดการณ์ GDP Growth สหรัฐปีนี้ลงส่งผลกระทบต่อตลาด นอกจากนั้นการลดลงของราคาน้ำมันดิบและความไม่แน่นอนเรื่อง Brexit ของอังกฤษก็กดดันตลาดด้วย
- ราคาน้ำมันดิบลดลงต่อ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 48 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 48.01 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 86 เซนต์ หรือ 1.7% ปิดที่ 48.97 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยที่กดดัน คือ การที่เฟดมีมุมมองต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐที่น้อยลง ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่ารายงาน EIA ที่ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 933,000 บาร์เรล สู่ระดับ 531.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน
• ราคาทองคำปิดทรงตัว (แต่ปิดก่อนทราบผลประชุมเฟด)
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 20 เซนต์ หรือ 0.02% ปิดที่ 1,288.30ดอลลาร์/ออนซ์ อย่างไรก็ตาม ตลาดทองคำปิดตลาดก่อนทราบผลประชุมเฟด ทั้งนี้กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เพิ่มการถือครองทอง 0.27% สู่ระดับ 898.67 ตันเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.56
• สหรัฐ : ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงหลังจบประชุมเฟด
ดัชนีดอลลาร์ล่าสุดอ่อนลงเป็น 94.5 หลังขึ้นไปสูงสุด 95.0 เมื่อวันก่อนหน้า สะท้อนการที่เฟดปรับลดคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีสหรัฐปีนี้ลง รวมทั้งมีการปรับพอร์ตของนักลงทุนหลังจบการประชุม FOMC ด้วย อย่างไรก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์ยังไม่น่าจะอ่อนลงรุนแรง เพราะยังมีความไม่แน่นอนในค่าเงินปอนด์ของอังกฤษในช่วงก่อนทำประชามติวันที่ 23 มิ.ย.59
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• กลุ่มธนาคารพาณิชย์: จะเริ่มใช้ E-payment แห่งชาติ “พร้อมเพย์” เดือนต.ค.นี้...ธ.พ.ประเมินว่ากระทบไม่มากธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทยร่วมกันทำระบบ E-payment แห่งชาติ ใช้ชื่อว่า “พร้อมเพย์” โดยเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนทั่วประเทศ 15 ก.ค.นี้และเริ่มใช้บริการจริงเดือนต.ค.59 เป็นต้นไป โดยการโอนเงินไม่เกิน 5,000 บาทจะไม่เสียค่าธรรมเนียม โอนมากกว่า 5,000-30,000 บาทเสียไม่เกิน 2 บาท/รายการ โอนมากกว่า 30,000-100,000 บาทเสียไม่เกิน 5 บาท/รายการ และโอนมากกว่า 100,000 บาทเสียไม่เกิน 10 บาท/รายการ และต่อไปบริการนี้จะครอบคลุมไปถึงการจ่ายบิลต่างๆ ด้วย
ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ประเมินว่า บริการพร้อมเพย์จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของธนาคารบ้างแต่ไม่น่าจะมาก เพราะธนาคารสามารถหารายได้อื่นๆมาทดแทนได้ ขณะเดียวกันต้นทุนดำเนินงานของแบงค์ก็ลดลง เช่น ค่าใช้จ่ายรถขนเงินค่าใช้จ่ายธุรกรรมหน้าเคาเตอร์ เป็นต้น ขณะเดียวกันผู้ที่ได้ประโยชน์คือประชาชน เพราะได้ใช้บริการโอนเงินที่สะดวกและจ่ายค่าธรรมเนียมต่ำลง สำหรับความปลอดภัยของระบบก็มีสูงเนื่องจากเป็นระบบปิดไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตหรือแอบพลิเคชั่นอื่นๆ ซึ่งระบบนี้ธนาคารพาณิชย์ใช้ระหว่างกันมาหลายสิบปีก็ยังไม่มีปัญหาเรื่องถูกเจาะระบบหลังบ้าน
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]