WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

"ซื้อค่าบวก/ถือเมื่อ SET ไม่หลุด 1430"
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
     ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้อ่อนตัวลงตามตลาดภูมิภาค โดย SET Index ปิด -9.89 จุดที่ 1435.65 นักลงทุนต่างชาติและพอร์ตบล.ขายสุทธิ (แต่ไม่มาก) สถาบันในประเทศและรายย่อยซื้อสุทธิกลุ่มละประมาณ 400-500 ล้านบาท
     สำหรับ วันนี้ ราคาน้ำมันดิบที่อ่อนลงอาจกดดันให้มีการขายทำกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นที่ราคาปรับขึ้นมาก โดยในเชิงกลยุทธ์เราแนะนำ Take Profit หุ้น PTTEP ก่อนเนื่องจากคาดว่า Core Profit 2Q59 มีโอกาสอ่อนลงเมื่อเทียบ QoQ เพราะแหล่งมอนทาราผลิตน้อยลง, มีการปรับลดราคาก๊าซสะท้อนราคาน้ำมันที่ลดลงในช่วง 6-12 เดือนก่อน, Unit Cost เพิ่มจากค่าเสื่อมราคาแหล่งผลิตใหม่ ส่วนภาพตลาดหุ้นก็มีแรงกดดันเล็กๆ จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ขยับแข็งค่าขึ้น สำหรับปัจจัยในประเทศยังไม่มีประเด็นใหม่ที่มีนัยสำคัญ โดยหลักจึงเป็นการเลือกซื้อขายเป็นรายบริษัท (การถือหุ้นต่อควรทำเมื่อดัชนีไม่หลุด 1430 จุด) หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น TU

    การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แนวต้านระยะสั้น 1440-1450, 1460-1470 จุด แนวตัดขาดทุน คือ ค่าลบ หรือต่ำกว่า 1430 จุด กลยุทธ์ ซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวกและไม่ควรหวัง Gap มาก และควรพิจารณา Take Profit หุ้นที่ราคาถึงเป้าหมายแล้ว
การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ BCH FSMART KBS PACE GLOBAL ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ RATCH CENTEL EASTW RML VNG AP TKS RS หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit -ไม่มี- หุ้นที่หลุด List เป็น ANAN

Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ตัวเลขภาคแรงงานรายสัปดาห์ออกมาดี
จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 4,000 ราย สู่ระดับ 264,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 4 มิ.ย. ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 270,000 ราย ส่วนตัวเลขเฉลี่ย 4 สัปดาห์ลดลง 7,500 ราย สู่ 269,500 รายในสัปดาห์ที่แล้ว

+ สหรัฐ : สต็อกสินค้าคงคลังเพิ่มแกร่งสุดในรอบ 10 เดือน
สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งประจำเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 0.6% ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 10 เดือน และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1% ขณะที่ยอดขายในภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 1.0% ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 1 ปี

+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ราคาน้ำมันที่ลดลงฉุดดัชนีให้อ่อนลงเล็กน้อย
ดัชนี DJIA ปิดลดลง 19.86 จุด หรือ -0.11% ดัชนี NASDAQ ปิดลดลง 16.02 จุด หรือ -0.32% ดัชนี S&P500 ปิด ลดลง 3.64 จุด หรือ -0.17% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบอ่อนลง แต่ยังมีปัจจัยหนุนจากตัวเลขภาคแรงงานรายสัปดาห์และสต็อกสินค้าคงคลังที่ออกมาดี ตลาดจึงอ่อนลงไม่มาก

-/+ ราคาน้ำมันพักฐานหลังปรับขึ้น 3 วันต่อเนื่อง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 67 เซนต์ หรือ -1.3% ปิดที่ 50.56 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 56 เซนต์ หรือ -1.1% ปิดที่ 51.95 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากแรงขายทำกำไรหลังราคาน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่อง 3 วันทำการ แต่ราคาน้ำมันยังไม่ร่วงลงแรงเพราะมีรายงานว่าไนจีเรียผลิตน้ำมันดิบน้อยลงราว 170,000 บาร์เรลต่อวันต่อหลังเกิดเหตุการณ์โจมตีท่อน้ำมันในประเทศ

+ ราคาทองคำปรับขึ้นอีก 10 ดอลลาร์
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 10.40 ดอลลาร์ หรือ 0.82% ปิดที่ระดับ 1,272.70 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ควรระวังการแกว่งจากแรงขายทำกำไร เพราะค่าเงินดอลลาร์เริ่มแข็งขึ้น

+ ค่าเงินดอลลาร์ขยับแข็งขึ้น
ดัชนีค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับ 6 สกุลหลักขยับขึ้นมาเป็น 94.18 จาก 93.85 ใน 2 วันก่อน สำหรับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 เดือนอยู่ที่ 94.18

ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ ประมงไทย : EU จะเข้ามาตรวจความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมายในเดือน ก.ค.นี้
เจ้าหน้าที่จากสหภาพยุโรปจะเข้ามาตรวจความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมายในเดือนก.ค.59 ซึ่งทาง TU มองว่าถ้าไทยได้ใบเหลืองกับอุตสาหกรรมประมงไทยไปอีก 6 เดือนก็กระทบความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นไม่มาก เพราะสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติมีเพิ่มขึ้นเป็น 40% ในปัจจุบันซึ่งใกล้เต็มเพดาน 45% แล้ว (เพิ่มจากระดับ 30% ใน 2 ปีก่อน)
     ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : สำหรับ DBSV เราให้น้ำหนักเป็นกลางกับประเด็นนี้ เพราะเห็นว่าในปัจจุบันไทยก็ถือใบเหลืองอยู่แล้ว ถ้าหาก EU ไม่ได้ประกาศถึงขั้นห้ามนำเข้าสินค้าประมงจากไทยก็ไม่น่ากระทบมาก (แต่ถ้าประกาศอย่างนั้นก็จะกระทบมาก ควรลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเลส่งออกไปก่อน) สำหรับผลกระทบต่อ TU ถ้ายังเป็นใบเหลืองอยู่ก็จะจำกัดเช่นกัน เนื่องด้วยบริษัทยังมีแนวโน้มผลประกอบการดี โดยในไตรมาส 1/59 มี Core Profit เติบโตเกือบเท่าตัวเป็น 967 ล้านบาท เพราะมีการทำงบการเงินรวมกับ Rugen Fisch ตั้งแต่ก.พ.59 อัตรากำไรสูงขึ้นจากต้นทุนทูน่าในสต็อกต่ำ ค่าใช้จ่ายการเงินต่ำลงหลังชำระคืนหนี้บางส่วน และเงินบาทอ่อนค่าในไตรมาสนี้ แต่เทียบ QoQ แล้วหดตัว 27% เพราะปัจจัยฤดูกาล แนวโน้มไปได้ดี ราคาทูน่ายังคงสูงได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยการห้ามใช้อุปกรณ์จับปลา (FAD) ระหว่างก.ค.-ต.ค.ก็เป็นปัจจัยหนุนราคาทูน่าด้วย ซึ่งราคาที่ดีเป็นบวกกับธุรกิจ OEM ทูน่าของบริษัท ทาง DBSV คาดการณ์ว่า Core Profit ของ TU ปีนี้จะเติบโตได้ 26% โดยเป็นการเติบโตจากธุรกิจที่มีอยู่และการเข้าซื้อกิจการ แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานอยู่ระหว่างปรับปรุง

+/- PTTEP (ราคาปิด 84 บาท) : ภาระดอกเบี้ยจ่ายมีโอกาสลดลงแต่ Core Profit มีโอกาสอ่อนลงจาก 1Q59
     บริษัทประกาศรับซื้อคืนหุ้นกู้ต่างประเทศจำนวน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีอายุเหลือ 2 ปี 3 เดือน (หมดอายุปี 2561) ซึ่งกระบวนการซื้อคืนจะแล้วเสร็จในเดือนมิ.ย.นี้ ซึ่งการซื้อคืนทำให้หนี้สินต่อทุนลดลงจาก 0.27 เท่าเป็น 0.23 เท่า (ปัจจุบันมีหุ้นกู้ทั้งหมด 3 พันล้านดอลลาร์) และการซื้อคืนจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลงได้ด้วย (ดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่ซื้อคืนอยู่ที่ 3.7%)
     ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เรามีมุมมองบวกกับการซื้อคืนหุ้นกู้ของบริษัท และสอดคล้องกับแผนลดค่าใช้จ่าย & เพิ่มประสิทธิภาพที่บริษัทได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับแนวโน้มผลประกอบการ 2Q59 ในส่วนที่เป็น Core profit อาจอ่อนลงเนื่องจาก 1) แหล่งมอนทาราผลิตก๊าซได้น้อยลง ซึ่งจะฉุดราคาขายเฉลี่ยใน 2Q59 ให้อ่อนลงด้วยเพราะเป็นแหล่งที่มีราคาก๊าซสูง, 2) มีการปรับราคาก๊าซสะท้อนต้นทุนน้ำมันที่ลดลงในช่วง 6-12 เดือนก่อน และ 3) Unit Cost อาจเพิ่มขึ้นจาก 28.6 ดอลลาร์/บาร์เรล เพราะผู้บริหารยังคงคาดการณ์ Unit Cost เฉลี่ยของปีนี้ไว้ที่ 34 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากมีค่าเสื่อมจากแหล่งผลิตใหม่เข้ามาทำให้ค่าเสื่อมจะเพิ่มจาก 17 ดอลลาร์/บาร์เรลใน 1Q59 เป็น 19 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปีนี้ ด้วยปัจจัยดังกล่าวข้างต้นนี้เราจึงแนะนำขายทำกำไร PTTEP

+ กลุ่มกระเบื้องปูพื้นและบุผนัง : กระทรวงพาณิชย์ต่ออายุ AD กระเบื้องนำเข้าจากจีนไปอีก 1 ปี
อธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า คณะกรรมการให้ต่ออายุการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) กระเบื้องเซรามิกนำเข้าจากจีนในอัตรา 2.18-35.49% ต่อไปอีก 1 ปีหลังจากใช้มาตั้งแต่มิ.ย.54-พ.ค.59 เนื่องจากพบว่ามีการทุ่มตลาดที่สร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมในประเทศจริง
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เป็นข่าวดีกับ DCC และทำให้กระเบื้องเซรามิกราคาถูกจากจีนเข้ามาแข่งขันด้านราคาได้น้อยลง สำหรับผลประกอบการบริษัทในปี 59-60 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 9-10% ต่อปี แนะนำถือ โดยให้ราคาพื้นฐาน 4.50 บาท จุดเด่น คือ เป็นผู้ประกอบการที่มีต้นทุนต่ำ ความสามารถในการทำกำไรดี และจ่ายปันผลสูง คาดการณ์ Dividend Yield ปี 59-60 ไว้ที่ 4.7% และ 5.2% (จ่ายทุกไตรมาส) ปัจจัยเสี่ยง คือ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำและภาวะภัยแล้งทำให้อุปสงค์ในต่างจังหวัดชะลอตัว (รายได้ราว 80% อยู่ในต่างจังหวัด)

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!