- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 02 June 2016 17:53
- Hits: 3005
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
แกว่งไม่หลุด 1410 ยังเลือกซื้อ/ถือได้
Top Picks-Fund Jan-12 : Fundamental : CPALL, CPN, IVL, JASIF, LPH
Dark Horse : GLOBAL
Top Picks -Fund Today: JASIF
(ดู Theme ลงทุนด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, TMT, JASIF, DIF, CPNRF, SC, QH, SIRI, BCP
Shot Sell-Prev : TICON 43%, PTTEP 15%, CPN 13%, INTUCH & BEC 11%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แต่ก็มีโอกาสรีบาวด์ตามมาได้
Support Resistance Stop Loss
SET 1380-1370 1420-1430 หลุด 1410
SET50 880,860 910,920-930 หลุด 900
Technical Picks - Today TCMC, WHA, CPN, TASCO, BCH, WORK, SPA, GLOBAL
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ...
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศพลิกกลับเป็นขายสุทธิ หลังซื้อสุทธิกันมาในช่วง 1 สัปดาห์ก่อน ซึ่งก็สอดคล้องกับการคาดการณ์เราว่ากระแสเงินที่เข้ามาช่วงนี้น่าจะเป็น Flow สั้นและหวังกำไรไม่มาก ซึ่งทำให้ตลาดยังคงผันผวน ปิดตลาด SET Index -8.52 จุดที่ 1415.76 และมูลค่าซื้อขายลดลงเป็น 4 หมื่นกว่าล้านบาท (จากวันก่อนหน้าเกือบ 7 หมื่นล้านบาท)
# ปัจจัยภายนอกค่อนข้าง Mixed โดยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดีต่อเนื่องเมื่อเข้าไตรมาส 2/59 การจ้างงานและอัตราค่าจ้างดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อค่อยๆ ขยับขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายประเมินว่าจะสามารถรองรับความเสี่ยงจากภายนอกได้ จึงหนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยก่อนปลายปีนี้ แต่น่าจะยังไม่เกิดขึ้นในการประชุมรอบ 14-15 มิ.ย. ส่วนเศรษฐกิจจีน ภาคการผลิตยังคงชะลอตัว โดย PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ค.ต่ำกว่าระดับ 50 และต่ำสุดในรอบ 3 เดือน เศรษฐกิจญี่ปุ่น & ยูโรโซนยังฟื้นตัวช้ามาก ตัวเลขเศรษฐกิจที่ติดตาม คือ รายงานการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐจาก ADP และรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐประจำเดือนพ.ค. รวมทั้งรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ
# สำหรับในประเทศ ยังไม่ค่อยมีปัจจัยใหม่ทางด้านมหภาค ส่วนใหญ่เป็นข่าวและความเคลื่อนไหวรายบริษัท ปัจจัยที่ติดตามและอาจเป็น Catalyst ในระยะต่อไปคือ การเปิดประมูลงานใหม่ภาครัฐ เช่น โครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 เป็นต้น กลยุทธ์ : การลงทุนหรือเก็งกำไรในช่วงนี้ยังคงเน้นเลือกเป็นรายบริษัท ส่วนภาพรวมตลาด เราประเมินกรอบล่าง-บนของ SET Index ในระยะ 1 เดือนไว้ที่ 1380-1370, 1350 จุด และ 1420-1430, 1440-1450 จุด หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น JASIF
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แนวต้านระยะสั้น 1420-1430 จุด แนวตัดขาดทุน คือ ค่าลบ หรือต่ำกว่า 1410 จุด การอ่อนตัวจะมีแนวรับเก็งกำไร 1380-1370 จุด กลยุทธ์ ซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวกและไม่ควรหวัง Gap มาก
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดีและมีโอกาสปรับขึ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ BCH, PLAT, WORK ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ RATCH, GLOBAL, TNH, SIRI, BEM, SEAFCO, SCN, AAV, SPALI, WHA หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ KTP, TCMC, CK หุ้นที่หลุด List เป็น -ไม่มี-
CMNT> Need to know TODAY - บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
ญี่ปุ่น : นายกฯประกาศเลื่อนการปรับขึ้นอัตราภาษีขายไปถึงต.ค.62 เป็นทางการแล้ว
นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ประกาศเลื่อนการปรับขึ้นภาษีบริโภคอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.59 โดยจะเลื่อนการปรับขึ้นภาษีจากเดือนเม.ย.60 เป็นเป็นต.ค.62 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบริโภคภาคครัวเรือนที่ถูกกระทบจากการปรับขึ้นภาษีครั้งก่อนและผลกระทบจากสึนามิ & แผ่นดินไหว
+ สหรัฐ : ภาคการผลิตเดือนพ.ค.ขยายตัวต่อเป็นเดือนที่ 3 และ Beige Book ระบุเศรษฐกิจขยายตัวดี
ดัชนีภาคการผลิตของ ISM อยู่ที่ระดับ 51.3% ในเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้นจาก 50.8% ในเดือนเม.ย. โดยดัชนีที่เคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิต
ด้านรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ (Beige Book) ระบุว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคส่วนใหญ่ของสหรัฐยังคงขยายตัวได้ดี และการจ้างงานภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้งอัตราค่าแรงงานก็ขยับขึ้นด้วย
- จีน : PMI ภาคการผลิตของจีนยังต่ำกว่า 50
มาร์กิตและไฉซินระบุว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนอ่อนลงแตะ 49.2 ในเดือนพ.ค. จากเดือนเม.ย.ที่ระดับ 49.4 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน เนื่องจากการผลิตชะลอตัวลง ขณะที่ยอดสั่งซื้อใหม่ในภาคการผลิตของจีนปรับตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.พ.59
ตลาดหุ้นสหรัฐ : แกว่งแต่ปิดทรงตัว
ดัชนี DJIA ปิด +2.47 จุด หรือ +0.01% ดัชนี NASDAQ ปิด +4.20 จุด หรือ +0.08% ดัชนี S&P500 ปิด +2.37 จุด หรือ +0.11% โดยตลาดดีดขึ้นในช่วงแรกหลังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวดีขึ้นทั้งภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้นต่อเป็นเดือนที่ 3 ในพ.ค.59 และรายงาน Beige Book ระบุว่าเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสหรัฐขยายตัวดี แต่การปรับขึ้นก็จำกัดเพราะกังวลว่าการฟื้นตัวและเติบโตที่แข็งแกร่งจะนำมาซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและมากครั้งกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ รวมทั้งกังวลกับตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอด้วย
ราคาน้ำมันดิบอ่อนลงเล็กน้อย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ขยับลง 9 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 49.01 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบ BRENT ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 17 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 49.72 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้กลุ่มโอเปกจะมีการประชุมวันนี้ (2 มิ.ย.59) แต่ตลาดก็ไม่ได้คาดหวังเรื่องการตรึงปริมาณการผลิตแม้ว่าสมาชิกฝั่งอาหรับ เช่น ซาอุดิอาระเบีย, กาตาร์, คูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรทส์ มีแนวความคิดที่จะให้สมาชิกร่วมมือกันควบคุมการผลิตน้ำมันก็ตาม
-/ ราคาทองคำอ่อนลง 0.2%
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 2.80 ดอลลาร์ หรือ 0.23% ปิดที่ระดับ 1,214.70 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้นหลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่ง
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
ไทย : อัตราเงินเฟ้อพ.ค.ขยับขึ้นเป็น +0.46%
ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือนพ.ค.59 +0.46%YoY และ + 0.56%MoM ส่งผลให้ช่วง 5 เดือนของปี 59 CPI ติดลบน้อยลงเป็น -0.20%YoY สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เดือนพ.ค.59 +0.78%YoY และ +0.05%MoM โดย Core CPI ช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ +0.72%YoY ทั้งนี้ดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มพ.ค.เพิ่มขึ้น 1.54%MoM แต่ดัชนีหมวดที่ไม่ใช่อาหารทรงตัว MoM สำหรับแนวโน้ม 2H59 คาดว่าเงินเฟ้อจะเป็นบวกเพราะราคาวัสดุก่อสร้างมีโอกาสขยับขึ้นในช่วง 4Q59 ซึ่งมีเม็ดเงินลงทุนภาครัฐเข้ามามากขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะ +1% ใน 3Q59 และ +2% ใน 4Q59 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี 59 จะอยู่ที่ 0.0-1.0%
- ADVANC (ราคาปิด 162.50 บาท) : S&P ปรับลดอันดับเครดิตเป็น BBB+ จากเดิม A-
สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Standard and Poor's (S&P) ประกาศลดอันดับเครดิตหนี้ระยะยาวของ ADVANC จาก A- เป็น BBB+ และมีมุมมองเป็นลบ โดยปัจจัยที่ปรับลดอันดับเครดิต คือ ภาระหนี้สินของบริษัทที่จะเพิ่มขึ้นเพื่อจ่ายค่าใบอนุญาต 4G ย่าน 900 MHz และการลงทุนขยายโครงข่าย และส่งผลกระทบต่ออัตราการจ่ายปันผลของบริษัทด้วย
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : ภาระหนี้สินของ ADVANC เพิ่มขึ้นจริงหลังชนะประมูลใบอนุญาต 4G โดยทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเพิ่มเป็น 1.8 เท่าในสิ้นปี 59 และเป็น 2.3 เท่าในสิ้นปี 60 จาก 1.0 เท่าในสิ้นปี 58 และภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งเราได้สะท้อนทั้งหมดเข้าไว้ในประมาณการกำไรสุทธิปี 59-60 แล้ว รวมทั้งได้วิเคราะห์ Sensitivity ของการจ่ายปันผล ซึ่งพบว่าจากประมาณการ EPS ของปี 59-60 ที่ 11.50 บาท/หุ้น และ 12.0 บาท/หุ้น ตามลำดับ ถ้าให้อัตราการจ่ายปันผลเท่ากับ 90% จะจ่ายปันผล 10.35 บาท/หุ้น และ 10.80 บาท/หุ้น ตามลำดับ คิดเป็น Dividend Yield 6.4% และ 6.6% ตามลำดับ (คำนวณจากราคาหุ้น ADVANC ที่ 162.50 บาท)
ในกรณีอนุรักษ์นิยม หากให้อัตราการจ่ายปันผลของปี 59-60 เท่ากับ 80% เงินปันผลจ่ายของปี 59-60 จะอยู่ที่ 9.20 บาท/หุ้น และ 9.60 บาท จะได้ Dividend Yield 5.7% และ 5.9% ตามลำดับ ซึ่งยังคงสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดที่ประมาณ 3.5% และหุ้นก็มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงด้วย ในเชิงปัจจัยพื้นฐานยังคงคำแนะนำซื้อ ADVANC โดยให้ราคาพื้นฐาน 180 บาท ส่วน INTUCH ให้ราคาพื้นฐาน 62 บาท (Discount 15% จาก Target NAV) อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นมีโอกาสแกว่ง-อ่อนลงในระยะสั้นจากข่าวการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ
- DEMCO (ราคาปิด 6.35 บาท) : มีโอกาสขาดทุนสุทธิต่อในปี 59
บริษัทมีแผนขายหุ้น WIN Energy ออกอีก 1-2% จากที่ถือในปัจจุบัน 4% เพื่อนำเงินมาใช้ซ่อมฐานเสากังหันลมโครงการห้วยบง ซึ่งปัจจุบันซ่อมเสร็จแล้ว 40 ฐานในเฟสที่ 1 จากทั้งหมด 81 ฐาน สำหรับเฟสที่ 2 คาดว่าจะได้แบบก่อสร้างเดือนมิ.ย.นี้ และใช้เวลาก่อสร้าง 4 เดือนครึ่ง ส่วนแนวโน้มผลประกอบการปี 59 คาดว่ายังอาจจะทำกำไรไม่ได้เพราะอยู่ในช่วงของการแก้ไขฐานเสากังหันลมซึ่งมีต้นทุนและค่าชดเชยเสียโอกาสในการขายไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายอื่นๆ สำหรับปี 58 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 510 ล้านบาท และในไตรมาส 1/59 ขาดทุนสุทธิ 222 ล้านบาท ส่วน BVS ณ สิ้นมี.ค.59 เท่ากับ 3.96 บาท/หุ้น (ซึ่งมีโอกาสลดลงอีกถ้าบริษัทยังคงขาดทุนสุทธิไปข้างหน้าต่อ)
นักวิเคราะห์ & กลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]