- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 23 May 2016 17:54
- Hits: 3903
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"เลือกซื้อเก็งกำไรแบบหวัง Gap สั้นไปก่อน"
Stock Picks-May 2016 : Fundamental : ADVANC, AOT, BA, LPH, TMT
Dark Horse : FSMART, RS
Fundamental Pick -Today: RS(ดู Theme ลงทุนด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, TMT, JASIF, DIF, CPNRF, SC, QH, SIRI, BCP
Shot Sell-Prev : TICON 20%, LPN 12%, TRUE 11%, PTTEP 10%, SCC 10%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบ
Support Resistance Stop Loss
SET 1360-1350 1390-1400, (1410) ค่าลบ
SET50 870 - 860 890 - 900, (910) ค่าลบ
Technical Picks - Today GL SYNEX PLAT EGCO TU BEAUTY BLA TNP
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ร่วง 14.64 จุด ปิดที่ 1385.86 เนื่องจากกังวลเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ซึ่งกระแสคาดการณ์ดังกล่าวทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และนักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุน (Rebalancing Portfolio) ด้วยการลด Position การถือครองโภคภัณฑ์และหุ้นลงให้สอดคล้องกับโอกาสและความเสี่ยงในตลาด ประกอบกับแรงกระตุ้นจากผลประกอบการ 1Q59 ก็หมดลงแล้วด้วย ทั้งนี้โดยสถิติย้อนหลัง 5, 10 และ 15 ปี พบว่าเดือนพ.ค.จะเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นปรับลงมากกว่าปรับขึ้น ซึ่งตัวเลขสถิตินี้ก็กระทบจิตวิทยาการลงทุนด้วย
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งน้ำมันและทองคำเคลื่อนไหว Outperform การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์ก่อน บ่งชี้ว่านักลงทุนบางกลุ่มเชื่อว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบ 14-15 มิ.ย.นี้ (ซึ่งรวมถึงทีมกลยุทธ์ Retail Research DBSV ด้วย) เนื่องจากตลาดยังมีปัจจัยเสี่ยง/ไม่แน่นอนอยู่หลายเรื่อง เศรษฐกิจยูโรโซนและญี่ปุ่นฟื้นตัวช้า เศรษฐกิจจีนและเอเชียเติบโตไม่มาก ซึ่งเหล่านี้ก็กดดันเศรษฐกิจสหรัฐด้วย รวมทั้งถ้าสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ย เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าก็จะกระทบภาคการค้าระหว่างประเทศสหรัฐ อย่างไรก็ดี ความกังวลเรื่องดอกเบี้ยสหรัฐจะกดดันตลาดไปเรื่อยๆ จนจบการประชุมเฟดกลางเดือนมิ.ย. เราประเมินกรอบล่าง-บนของ SET Index ในระยะ 1 เดือนข้างหน้าไว้ที่ 1380-1370, 1350 จุด และ 1420, 1440-1450 จุด กลยุทธ์ : เลือกเป็นรายบริษัท โดยการเก็งกำไรยังไม่ควรหวัง Gap มาก ส่วนการลงทุน เป็นลักษณะทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีช่วงราคาหุ้นอ่อนตัว หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น RS
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ แนวต้านระยะสั้น 1390-1400, (1410) จุด แนวตัดขาดทุน คือ ค่าลบ กลยุทธ์ ซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก หรือตั้งรับที่ตำแหน่งแนวเด้ง
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก หุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ BEAUTY SYNEX PACE TNP ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ ESSO RATCH SENA BWG KAMART หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ PLAT ไม่มีหุ้นที่หลุด List
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- ญี่ปุ่น : ส่งออกเดือนเม.ย.หดตัว 10.1%YoY
ญี่ปุ่นรายงานยอดเกินดุลการค้าในเดือนเม.ย.59 เท่ากับ 8.235 แสนล้านเยน โดยยอดส่งออกในเดือนดังกล่าวปรับตัวลดลง 10.1%YoY ขณะที่ยอดนำเข้าร่วงลง 23.3%YoY บ่งชี้ว่าภาคการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่นยังซบเซามากแม้ว่าจะใช้กลยุทธ์เงินเยนอ่อนค่าก็ตาม
+ สหรัฐ : ยอดขายบ้านมือสองเม.ย.เพิ่มขึ้นดี
ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐในเดือนเม.ย.+1.7%MoM สู่ระดับสูงสุดในรอบสามเดือนที่ 5.45 ล้านยูนิต บ่งชี้ว่าความต้องการบ้านยังคงแข็งแกร่งและตลาดที่อยู่อาศัยสหรัฐยังฟื้นตัวขึ้น ตัวเลขดังกล่าวดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 5.4 ล้านยูนิต และสูงขึ้นจากเดือนมี.ค.ที่ 5.36 ล้านยูนิต
+ ตลาดหุ้นสหรัฐกลับมาบวก แต่น่าจะยังผันผวน
ดัชนี DJIA ปิด +65.54 จุด หรือ +0.38% ที่ 17,500.94 จุด ดัชนี S&P 500 ปิด +12.28 จุด หรือ +0.60% และดัชนี Nasdaq ปิด +57.03 จุด หรือ +1.21% ปัจจัยที่กระตุ้นตลาด คือ แรงซื้อหุ้นกลุ่มไอที ซึ่งคาดว่าหลายบริษัทจะยังมียอดขายที่เติบโตได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าความวิตกกังวลเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก็จะเข้ามากดดันเป็นระยะๆ จนถึงการประชุมกลางเดือนมิ.ย.59
ราคาน้ำมันดิบอ่อนลงเล็กน้อย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ลดลง 41 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 47.75 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากแรงเทขายช่วงถึงกำหนดส่งมอบตามสัญญาเดือนมิ.ย. ส่วนสัญญาน้ำมันดิบ BRENT ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 9 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 48.72 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ตลาดน้ำมันในวันศุกร์ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้น และตลาดยังจับตาระดับอุปทานน้ำมันอย่างใกล้ชิดต่อไป เราประเมินว่าราคาน้ำมันดิบที่ระดับ 50-55 ดอลลาร์/บาร์เรล จะกระตุ้นให้ผู้ผลิตที่ชะลอหรือหยุดผลิตกลับมาผลิตเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งอาจทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นต่ออย่างจำกัด
ราคาทองคำอ่อนลงเล็กน้อย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ปิด -1.90 ดอลลาร์ หรือ -0.15% ที่ 1,252.90 ดอลลาร์/ออนซ์ และ -1.56% ในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ถือว่าราคาทองคำยังค่อนข้างแข็งและ Outperform ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนบางกลุ่มเชื่อว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบ 14-15 มิ.ย.นี้
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
-/+ PTTGC (ราคาปิด 58.75 บาท) : 2Q59 อาจถูกกระทบจากปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น แต่เติบโตดีในระยะยาว
บริษัทมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในไตรมาส 2/59 หลังจากปิดซ่อมบำรุงโรงงานโอเลฟินส์ไปในไตรมาส 1/59 ที่ผ่านมา ยังผลให้ผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปีจะยังไม่ดีนัก แต่ในครึ่งหลังของปีนี้จะดีขึ้น และเติบโตได้สูงในปี 60 เพราะปี 60 ไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุง ประกอบกับมีการเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการในปี 59 และจะรับรู้รายได้เต็มปี 60 คือ 1. โครงการอะโรเมติกส์ 2 กำลังการผลิต 1.7 แสนตัน/ปี (เปิดพ.ค.59) 2. โครงการฟีนอล 2 กำลังการผลิต 4.05 แสนตัน/ปี (เปิดพ.ค.59) 3. โครงการ HDI กำลังการผลิต 1.2 หมื่นตัน/ปี (เปิดไตรมาส 3/59) และ 4. โครงการ HDI โมโนเมอร์ที่ฝรั่งเศส กำลังการผลิต 7 หมื่นตัน/ปี (เปิดไตรมาส 3/59)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เรามีมุมมองเชิงบวกในระยะกลาง-ยาวกับบริษัท จากการที่บริษัทเพิ่มกำลังการผลิตและการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการปรับกลยุทธ์ด้านการตลาด โดยหันมาเจาะตลาดอาเซียนที่มีอุปสงค์เติบโตสูงมากขึ้น ลดการพึ่งพาตลาดจีน (มีแผนลดการส่งออกไปจีนจาก 17% เป็น 10% เพิ่มการส่งออกไปอาเซียนจาก 3% เป็น 5% ในปี 59 และเป็น 10-15% ในอีก 2 ปีข้างหน้า) ผู้บริหาร PTTGC ให้ Guidance ว่ารายได้ในปี 60 จะเติบโตไม่น้อยกว่า 17% หลังกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 7% จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตรวม 8.75 ล้านตัน/ปี
ระยะสั้นราคาหุ้นได้อ่อนตัวลงสะท้อนผลประกอบการครึ่งแรกของปีนี้ที่ยังทำกำไรได้ไม่เต็มที่ เพราะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานและโรงกลั่น แต่ก็เป็นจังหวะในการทยอยซื้อลงทุน ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ DBSV ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 70 บาท และคาดว่าบริษัทจะให้ Dividend Yield ในปีนี้สูงที่ 4.9%
-/+ RS (ราคาปิด 11 บาท) : ไตรมาส 2/59 ผลประกอบการอ่อนลง แต่จะพลิกฟื้นในระยะต่อไป
ผลประกอบการ 2Q59 ของ RS มีโอกาสจะอ่อนแอลงและอาจเป็นขาดทุนสุทธิเล็กน้อย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่คาดว่าจะเป็นเพียงชั่วคราว และพลิกกลับเป็นกำไรได้ใน 2H59 หลังจากรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพและความงามเข้ามาได้มากขึ้น ส่วนการปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาในปีนี้ทำได้น้อยกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้เพราะการแข่งขันที่สูงและสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย แต่อัตราค่าโฆษณาในปีนี้ก็ยังสูงกว่าปี 58 บริษัทประเมินว่าการเติบโตของบริษัทในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า โดยหลักมาจาก 1) รายได้จากผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพและความงามที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด (โดยจะทำการตลาดทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านด้วย) และ 2) การปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณา ซึ่งเราเห็นว่ามีโอกาสสูงที่บริษัทจะประสบความสำเร็จในสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม เพราะมีช่องทางการตลาดของตัวเอง (ผ่านทีวีดิจิตอล) และมีพรีเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นดาราและนักร้องในค่าย RS เข้ามาช่วยหนุน ในเชิงกลยุทธ์ จึงแนะนำทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุนในจังหวะที่ราคาหุ้นอ่อนตัว
+ CSL (ราคาปิด 5.95 บาท) : โดดเด่นที่ปันผลสูง...คาด Yield ปีนี้ 7.6%
บริษัทมีกำไรสุทธิไตรมาส 1/59 เท่ากับ 84 ล้านบาท (EPS : 0.14 บาท/หุ้น) เติบโต 25%QoQ และทรงตัว YoY โดยมีกำไรจากธุรกิจบริการ ICT เท่ากับ 66 ล้านบาท (+25%QoQ, +14%YoY) โดยหลักมาจากรายได้ค่าบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงให้กับกลุ่มลูกค้าคอนโดตามแนว BTS & MRT ส่วนธุรกิจสมุดหน้าเหลืองมีกำไร 1 ล้านบาท ดีขึ้นจากที่ขาดทุน 4 ล้านบาทใน 1Q58 และ 4Q58 สำหรับธุรกิจบริการข้อมูลด้านเสียงมีกำไรลดลง YoY ซึ่งเป็นไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป แนวโน้มกำไรในปี 59-60 คาดว่าจะเติบโตปีละ 1-2% ซึ่งไม่โดดเด่น แต่ฐานะการเงินบริษัทแข็งแกร่งและกระแสเงินสดสุทธิเป็นบวก รวมทั้งไม่มีแผนลงทุนขนาดใหญ่ (ณ สิ้นมี.ค.59 มีเงินสดสุทธิ 227 ล้านบาท คิดเป็น 0.38 บาท/หุ้น) จึงสามารถจ่ายปันผลได้สูง เราคาดการณ์เงินปันผลปีนี้ไว้ที่ 0.45 บาท/หุ้น ที่ราคาปิด 5.95 บาทคิดเป็น Dividend yield 7.6%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]