- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 19 May 2016 18:49
- Hits: 4227
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เลือกซื้อเก็งกำไรค่าบวก/อ่อนไม่มาก'
Stock Picks-May 2016 : Fundamental : ADVANC, AOT, BA, LPH, TMT
Dark Horse : FSMART, RS
Fundamental Pick -Today : KTC(ดู Theme ลงทุนด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, TMT, JASIF, DIF, CPNRF, SC, QH, SIRI, BCP
Shot Sell-Prev : BJC 26%, LH 20%, SVI 14%, PTTEP 13%, AMATA 12%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบดูไม่ค่อยดี
Support Resistance Stop Loss
SET 1380,1360 1410,1420 หลุด 1395
SET50 870-860 900-910,920 หลุด 885
Technical Picks - Today KTC, TTCL, SPALI, EGCO, BWG, GLOBAL, TPBI, IVL
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : PACE (จากถือเป็นซื้อ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงรอข่าวใหม่ รวมทั้งรอดูสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐจากรายงานการประชุม FOMC เมื่อ 27-28 เม.ย.ที่ผ่านมาด้วย ซึ่งเปิดเผยออกมาแล้วโดยคณะกรรมการเฟดหลายคนเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวดี และถ้ายังเติบโตได้ต่อเนื่อง การปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.นี้ก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม ซึ่งความเห็นดังกล่าวทำให้ค่าเงิน US$ แข็งขึ้นและกดดันหุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ แต่การปรับขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นบวกกับหุ้นกลุ่มแบงค์ในสหรัฐ แต่ไม่ได้บวกกับธนาคารประเทศอื่นๆ ที่ยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำมากหหรือติดลบต่อไป เช่น ยูโรโซน, ญี่ปุ่น รวมถึงไทยที่คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยต่ำไปจนถึงสิ้นปี 59 ความกังวล คือ ความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีความแตกต่างในทางตรงกันข้ามระหว่างนโยบายการเงินสหรัฐและประเทศอื่นๆ, ผลกระทบจากการแข็งค่าของเงิน US$ ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเอง และการฟื้นตัวที่ล่าช้าของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก, ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบซึ่งจะกระทบการเติบโตของกำไรของตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ
กลยุทธ์ : เลือกซื้อ โดยการเก็งกำไรก็ไม่ควรหวัง Gap มาก ส่วนการลงทุน เป็นลักษณะทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีช่วงราคาหุ้นอ่อนตัว สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น KTC
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แนวต้านระยะสั้น 1410, 1420 จุด แนวตัดขาดทุน คือ ค่าลบ หรือ SET ต่ำกว่า 1395จุด กลยุทธ์ ซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก/หรืออ่อนไม่มาก โดยยังไม่ควรหวัง Gap มาก ส่วนการลงทุน เน้นทยอยซื้อสะสมหุ้นหลักพื้นฐานดีจังหวะราคาอ่อนตัว
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก หุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ PLAT, BWG, KAMART ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ SF, ESSO, RATCH, SENA หุ้นที่หลุด List เป็น GPSC, IRPC, WICE หุ้นที่หาจังหวะขายทำกำไร คือ WHA, GLOBAL, THAI, SPALI, VIH
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
รายงานการประชุมเฟด 26-27 เม.ย.ระบุว่าอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยมิ.ย.ถ้าเศรษฐกิจฟื้นแกร่ง
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 26-27 เม.ย.เมื่อวานนี้ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย.59 หากเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าเศรษฐกิจมีการขยายตัวได้ดีขึ้นในไตรมาส 2/59 ตลาดแรงงานก็มีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และเงินเฟ้อเริ่มเคลื่อนไหวใกล้ระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2% ถ้าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed fund rate) ในการประชุมเดือนมิ.ย.ก็ถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม
CFO ของแบงค์ ออฟ อเมริกาหนุนเฟดขึ้นดอกเบี้ย...เพื่อลดแรงกดดันแบงค์ปลดพนักงาน
หัวหน้าฝ่ายการเงิน (CFO) ของแบงค์ ออฟ อเมริกา หนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย.นี้ เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็หนุนผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ด้วย และถ้าเฟดไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็ทำให้ธนาคารหลายแห่งต้องปรับลดจำนวนพนักงานต่อไป ซึ่งแบงค์ ออฟ อเมริการได้ปลดพนักงานไปแล้ว 3% ในไตรมาส 1/59
- ยูโรโซน : อัตราเงินเฟ้อยังติดลบในเดือนเม.ย.
สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรปหรือยูโรสแตท เปิดเผยว่าอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนอยู่ที่ -0.2% ในเดือนเม.ย. ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากรายงานเบื้องต้นที่มีการเปิดเผยเมื่อวันที่ 29 เม.ย.59 ซึ่งห่างจากอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 2% อย่างมาก และมีความเสี่ยงว่าอาจจะเกิดภาวะเงินฝืดในยูโรโซนได้
- ยูโรโซน : การค้าระหว่างประเทศเดือนมี.ค.ยังติดลบจากปีก่อน
มูลค่าส่งออกของยูโรโซนในเดือนมี.ค.อยู่ที่ 1.778 แสนล้านยูโร -3%YoY ส่วนนำเข้า -8% สู่ระดับ 1.492 แสนล้านยูโร เกินดุลการค้า 2.86 หมื่นล้านยูโรในเดือนมี.ค. มากขึ้นจาก 1.99 หมื่นล้านยูโรในเดือนมี.ค.58 สำหรับไตรมาส 1/59 มูลค่าส่งออกของยูโรโซน -1% สู่ระดับ 4.858 แสนล้านยูโร การนำเข้า -3% ที่ 4.320 แสนล้านยูโร
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทรงตัว
ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนหลังเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมของเดือนเม.ย.59 ซึ่งมีสัญญาณว่าเฟดมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดเคยประเมินไว้ รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่ลดลงก็กดดันหุ้นกลุ่มพลังงานด้วย แต่การเพิ่มขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารและเทคโนโลยีช่วยพยุงตลาดไม่ให้อ่อนตัวลงมาก ปิดตลาดดัชนี DJIA ลดลง 3.36 จุด หรือ -0.02%
สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มเกินคาด ราคาน้ำมันจึงอ่อนลงเล็กน้อย
EIA เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้วเป็น 541.3 ล้านบาร์เรล ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.8 ล้านบาร์เรล แต่สต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นลดลง 2.5 และ 3.2 ล้านบาร์เรล สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. -12 เซนต์ ปิดที่ 48.19 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT -35 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 48.93 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาทองคำอ่อนเล็กน้อย แต่มีโอกาสลดลงต่อ...สะท้อนรายงานการประชุม FOMC
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ลดลง 2.50 ดอลลาร์ หรือ 0.20% ปิดที่ระดับ 1,274.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ทั้งนี้ตลาดซื้อขายทองคำปิดทำการก่อนเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC วันที่ 26-27 เม.ย. ดังนั้นราคาทองคำมีโอกาสที่จะอ่อนตัวลงต่อในวันนี้ หลังเฟดส่งสัญญาณว่าอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดประเมินเอาไว้
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ KTC (ราคาปิด 93.50 บาท) : ธุรกิจเติบโตได้ต่อเนื่อง ต้นทุนการเงินลดลง
อันดับความน่าเชื่อถือบริษัทที่ขยับจาก A- ขึ้นเป็น A+ ทำให้ต้นทุนการเงินลดลง 0.15-0.2% จากปัจจุบันที่ 3.5% เป็น 3.3-3.35% บริษัทเล็งปรับเพิ่มเป้ากำไรปีนี้ จากเดิมที่คาดทรงตัว หากไตรมาส 2/59 ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง สำหรับ NPL ยังอยู่ในระดับต่ำ ตั้งเป้า 3 ปีเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 15% จากปัจจุบันที่ 10.8% เชื่อธุรกิจบัตรเครดิตยังเติบโตได้จากเทรนด์การใช้จ่ายผ่านอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับไตรมาส 1/59 บริษัทมีกำไรสุทธิ 635 ล้านบาท (+11%YoY และ 19%QoQ) เนื่องจากสินเชื่อบัตรเครดิตและส่วนบุคคลเติบโต 11%YoY และต้นทุนการเงินลดลง ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่ม 17%YoY สำหรับรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเติบโตดีที่ 13%YoY ด้านคุณภาพสินทรัพย์ บริษัทมีการตัดหนี้สูญออกไปทำให้ NPL Ratio ของสินเชื่อรวมลดลงเป็น 2.0% ในสิ้น 1Q59 (จาก 2.1% ในสิ้นปี 58) Coverage ratio สิ้นมี.ค.59 อยู่ที่ 424% แนวโน้มกำไร 2Q59 คาดว่าจะยังเติบโตได้ YoY จากนโยบายเชิงรุกของบริษัท และต้นทุนการเงินที่ต่ำลง แต่ส่วนหนึ่งจะถูกชดเชยไปด้วยค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 105.50 บาท ซึ่งเทียบเท่ากับ Forward P/E ปีนี้ที่ 12.5 เท่า คาดการณ์ Dividend yield ที่ 3.5%
+ BCP (ราคาปิด 30.50 บาท) : นักวิเคราะห์ DBSV มีมุมมองบวกกับแนวโน้มกำไรช่วงที่เหลือของปีนี้
แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 1/59 จะออกมากำไรน้อยแต่ก็ดีกว่าที่เราและบริษัทคาดไว้ โดยถ้าไม่รวมขาดทุนจากสต็อกและ FX พบว่า Core profit ดีกว่าเป้าหมายถึง 38% ซึ่งสะท้อนการบริหารห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งธุรกิจค้าปลีกก็มียอดขายเติบโตดี (+13%YoY ในไตรมาส 1/59) และมีมาร์จิ้นทางการตลาดแข็งแกร่ง บริษัทมีแผนพัฒนาธุรกิจค้าปลีกให้ครบวงจรมากขึ้น โดยการปรับสถานีบริการน้ำมันให้มีบริการเต็มรูปแบบมากขึ้น ให้มีบริการเติมก๊าซ น้ำมัน และร้านค้าสะดวกซื้อ แนวโน้มไตรมาส 2/59 ดีขึ้น เพราะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงและมีแผนใช้กำลังการผลิตโรงกลั่นเต็มที่ (ในไตรมาส 1/59 มีปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นไป 45 วัน)
จะนำบริษัทย่อย BCPG ที่ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าเข้าจดทะเบียนในตลาดช่วง 2H59 (อาจจะเป็นช่วงไตรมาส 4/59) โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิต 282 MW ทั้งในไทยและญี่ปุ่น โดยในไทยมี 129 MW และที่เหลือส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่น ซึ่งโซลาร์ญี่ปุ่นยังขาดทุนในไตรมาส 1/59 และคาดว่าจะถึงระดับคุ้มทุนที่ 50-60 MW ได้ใน 1H60 ทั้งนี้ธุรกิจโซลาร์ญี่ปุ่นไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ทาง BCPG มีแผนขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 500 MW ภายในปี 63 โดยใช้เงินทุนจากการทำ IPO และกำไรจากการดำเนินงาน
ยังคงแนะนำซื้อ BCP ณ ราคาปัจจุบัน 30.50 บาท มี Valuation ที่จูงใจ โดย P/E ปี 59อยู่ที่ 6.7 เท่า และลดลงเป็น 6.2 เท่าในปี 60 ขณะที่ P/BV ปีนี้อยู่ที่ 1.0 เท่าและเป็น 0.9 เท่าในปี 60 ฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.2 เท่าในสิ้นปี 59 และเป็นเงินสดสุทธิในปี 61 บริษัทมี ROE สูงกว่า 16% ในปีนี้ นอกจากนั้นยังจ่ายปันผลสูง โดยคาดการณ์เงินปันผลปีนี้ไว้ที่ 1.90 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend yield 6.2% ให้ราคาพื้นฐาน 39 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]