- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 16 May 2016 18:38
- Hits: 3585
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"เก็งกำไรเมื่อ SET เหนือ 1390"
Stock Picks-May 2016 : Fundamental : ADVANC, AOT, BA, LPH, TMT
Dark Horse : FSMART, RS
Fundamental Pick -Today: ERW
(ดู Theme ลงทุนด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, TMT, JASIF, DIF, CPNRF, SC, QH, SIRI, BCP
Shot Sell-Prev : AMATA 35%, SCCC 18%, TISCO 15%, PTTEP & SCC 12%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ
Support Resistance Stop Loss
SET 1380,1360 1400,1410 หลุด 1390
SET50 870-860 895-905,910 หลุด 880
Technical Picks - Today PLAT, CPN, RATCH, ESSO, AAV, CBG, ERW
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ปิดอ่อนลง 4.62 จุดที่ 1394.69 โดยมาจากแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ปรับขึ้นมาแรงช่วงก่อน อย่างไรก็ตาม ดัชนียังไม่ได้ร่วงมากเพราะมีแรงซื้อเก็งกำไรผลประกอบการหุ้นที่มีกำไรดีกว่าคาดกันอยู่
เมื่อหมดช่วงรายงานผลประกอบการ 1Q59 แล้วก็ควรระวังการอ่อนตัวจาก Sell on fact ขณะเดียวกันกระแสคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐก็เข้ามากดดันมากขึ้นอย่างที่ประเมินไว้ในสัปดาห์ก่อน ล่าสุดตัวเลขยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.59 ที่ดีกว่าคาดก็กระตุ้นความกังวลดังกล่าวไปแล้วเรื่องหนึ่ง ถ้ารายงานอัตราเงินเฟ้อเดือนเม.ย.สหรัฐออกมาลักษณะเร่งตัวขึ้น ความวิตกเรื่องเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่มิ.ย.ก็จะกดตลาดช่วงสั้นเข้าไปอีก สำหรับ MSCI Quarterly Review ที่มีผลบังคับใช้ 31 พ.ค.นี้พบว่าใน MSCI Thailand หุ้นเข้ามาคำนวณ คือ ROBINS, EGCO และไม่มีหุ้นออก ส่วน MSCI Global Small Cap หุ้นที่เข้ามาเป็น DNA, GL, S ส่วนหุ้นออก คือ EFORL, SAMTEL, SAT, SRICHA, TIPCO, TTCL กลยุทธ์ : ยังเน้นการเลือกเป็นรายบริษัท โดยการเก็งกำไรไม่ควรหวัง Gap มากเพราะตลาดยังไม่ทิ้งความผันผวน สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น ERW
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แนวต้านระยะสั้น 1400, 1410 จุด แนวตัดขาดทุน คือ ค่าลบ หรือ SET ต่ำกว่า 1390 จุด กลยุทธ์ ซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก และไม่ควรหวัง Gap มาก ส่วนการลงทุน เน้นทยอยซื้อสะสมหุ้นหลักพื้นฐานดีจังหวะราคาอ่อนตัว
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก หุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ PLAT, ESSO, RATCH, MILL, XO ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ MTLS, SF, KTC, LIT, CBG, GPSC, KAMART, KKC หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ CPN หุ้นที่หลุด List เป็น TWPC
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้นดีเกินคาด
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่ายอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.3%MoM ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.58 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.5%MoM โดยเป็นผลจากยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น 3.2%MoM ในเดือนเม.ย.59 สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐสำคัญที่ติดตาม ประกอบด้วย ดัชนีราคาผู้บริโภค เครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ การผลิตภาคอุตสาหกรรม และบันทึกการประชุมเฟด
- อังกฤษ : ธนาคารกลางปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ปี 59-61 ลง
ธนาคารกลางอังกฤษได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 59 สู่ระดับ 2.0% จากเดิมที่ 2.2% ส่วนในปี 60 ปรับลดเป็น 2.3% จาก 2.4% และในปี 61 ปรับลดสู่ 2.3% จาก 2.5%
+ เยอรมนี : เศรษฐกิจ 1Q59 เติบโตดีกว่าคาด
สำนักงานถิติแห่งชาติของเยอรมนีเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) งวด 1Q59 ขยายตัว 0.7%QoQ ซึ่งดีขึ้นจาก 4Q58 ที่เติบโต 0.3%QoQ และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 0.6%QoQ ปัจจัยหนุน คือ การลงทุนด้านการก่อสร้างและสินค้าทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถชดเชยการชะลอตัวของมูลค่าการค้าต่างประเทศได้
ญี่ปุ่น : รัฐมนตรีอาเบะเตรียมประกาศชะลอการปรับขึ้นภาษีขาย
ตลาดประเมินว่าการฟื้นตัวที่ล่าช้าของเศรษฐกิจญี่ปุ่นและการประสบภัยธรรมชาติจากแผ่นดินไหว ทำให้นายกรัฐมนตรีอาเบะน่าจะชะลอการปรับขึ้นภาษีขายที่จะต้องขึ้นจาก 7% เป็น 10% ในเดือนเม.ย.60 ออกไปก่อน แม้ว่าระดับหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นจะสูงมากกว่า 200% ของจีดีพีก็ตาม (แต่หนี้เกือบทั้งหมดเป็นการกู้ยืมจากประชาชนในประเทศ)
- ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลงในวันศุกร์...กังวลเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยมิ.ย.นี้ & ราคาน้ำมันร่วง
ยอดค้าปลีกสหรัฐที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 1 ปี ทำให้นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.59 และการปรับตัวลงของราคาน้ำมันก็ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงด้วย ปิดตลาดดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 185.18 จุด หรือ -1.05% ดัชนี NASDAQ ลดลง 19.65 จุด หรือ -0.41% และดัชนี S&P500 ลดลง 17.50 จุด หรือ -0.85%
- ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง
มีรายงานว่าแคนาดาเริ่มกลับมาผลิตน้ำมันดิบอีกครั้งหลังจากที่แหล่งผลิตน้ำมันในฟอร์ท แมคเมอร์เรย์ของแคนาดาได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไฟป่าในช่วงก่อนหน้านี้ และตลาดได้รับแรงกดดันจากแรงขายทำกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้าด้วย ปิดตลาดสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ลดลง 49 เซนต์ ที่ 46.21 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบก.ค.ลดลง 25 เซนต์ ปิดที่ 47.83 ดอลลาร์/บาร์เรล นักลงทุนจับตาการประชุมกลุ่มโอเปก 2 มิ.ย.นี้ว่าจะมีข้อตกลงเรื่องการปรับลดปริมาณการผลิตหรือไม่ ทางด้านรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลกแต่อยู่นอกกลุ่มโอเปก กล่าวว่าปีนี้มีแผนจะผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น
ราคาทองคำทรงตัว
สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.5 ดอลลาร์ หรือ +0.12% ปิดที่ 1,272.70 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนตลอดทั้งสัปดาห์ก่อนสัญญาทองคำ COMEX ปรับตัวลง 1.65%
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
ตลาดคาด GDP Growth ปีนี้อยู่ในช่วง 2.7-3.0%
เราคาดการณ์ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยใน 1Q59 จะยังไม่แข็งแกร่งมากนัก (ตลาดประเมินไว้ที่ 2.8-3.0%YoY) เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่ยังค่อนข้างซบเซา (การบริโภคและลงทุนภาคเอกชนขยายตัวไม่มาก) ภาคส่งออกฟื้นตัวช้าถ้าไม่รวมส่งออกทองคำยังติดลบในช่วง 4M59 มีเพียงการใช้จ่ายภาครัฐและท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีและเป็น Key growth ของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ตลาดประเมินว่าจีดีพีปีนี้จะขยายตัวได้ 2.7-3.0% ซึ่งเป็นระดับปานกลางที่ค่อนมาทางต่ำเมื่อเทียบกับขนาดของเศรษฐกิจไทย
คาดกำไรบจ.ปีนี้ +30% จากฐานต่ำ แต่ถ้าไม่รวมพลังงาน ปิโตรเคมี และขนส่ง เหลือ +2.9%
สำหรับกำไรบจ.ที่ DBSV ทำการวิเคราะห์ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 70% ของ Market Cap ตลาดหุ้นไทย เราพบว่าคาดการณ์กำไรสุทธิปี 59 ที่ไม่รวมกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรผันผวนเพราะผลกำไร/ขาดทุนในสต็อกและอัตราแลกเปลี่ยน (พลังงาน ปิโตรเคมี และขนส่ง) จะอยู่ที่ +2.9% (เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากก่อนรายงานผลประกอบการ 1Q59 ที่ +2.4%) ส่วนกำไรสุทธิที่รวม 3 กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวข้างต้นจะเติบโต 30% (เท่าเดิม) ซึ่งการเติบโตก้าวกระโดดเป็นผลจากฐานกำไรที่ต่ำมากของกลุ่มโภคภัณฑ์และขนส่งในปี 58 ซึ่งมีทั้งขาดทุนจากสต็อก ขาดทุนจากอัตราแลกปลี่ยน และขาดทุนจากการด้อยค่าในทรัพย์สิน & เงินลงทุน
เรามีมุมมองที่เป็น Neutral กับตลาดหุ้นไทยบนระดับดัชนี 1400+/- จุด (ดัชนีเป้าหมายที่ 1,480 จุด - P/E Median+1SD) โดยปัจจัยหนุนตลาด คือ ความแข็งแกร่งของตัวบริษัทจดทะเบียนเองที่ทำให้หลายบริษัทยังเติบโตได้ดี (ซึ่งมาจากการขยายตลาดไปต่างประเทศ รวมถึง CLMV, การเข้าซื้อกิจการเพื่อเพิ่มการเติบโตก้าวกระโดดและสร้าง Synergies ทางธุรกิจ, การลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายดำเนินงาน, การปรับเปลี่ยนหรืออกผลิตภัณฑ์/บริการใหม่ๆที่ตอบสนองความต้องการอุปโภคและบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป, การบริหารด้านการเงินและภาษีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นทำให้ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ลดลง เป็นต้น) การใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐชและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ปัจจัยเสี่ยง คือ ประสิทธิผลของนโยบายการเงินที่น้อยลง คืออัตราดอกเบี้ยต่ำมากหรือติดลบก็ยังไม่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้ดีนัก ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นกันอยู่ทั่วโลก และการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลังที่กำลังดำเนินการกันอยู่ก็ทำได้อย่างจำกัดเพราะต้องอยู่บนกรอบวินัยการคลังที่ดีด้วย ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์ จึงยังเป็นการเลือกซื้อรายบริษัท หุ้น Top Picks ของเดือนพ.ค.59 ได้แก่ ADVANC, AOT, BA, LPH, TMT ส่วน Dark horse คือ FSMART, RS
+/- MSCI Quarterly Review มีผลบังคับใช้ 31 พ.ค.59
สำหรับดัชนี MSCI Thailand หุ้นเข้ามาคำนวณ คือ ROBINS, EGCO และไม่มีหุ้นออก ส่วน MSCI Global Small Cap หุ้นไทยที่เข้ามาคำนวณในดัชนีเป็น DNA, GL, S ส่วนหุ้นออก คือ EFORL, SAMTEL, SAT, SRICHA, TIPCO, TTCL
+ ERW (ราคาปิด 4.48 บาท, ราคาพื้นฐาน 5.70 บาท) : กำไร 1Q59 ออกมาดีกว่าที่เราและตลาดคาดไว้ก่อนหน้าที่ 3.6% และ 8.6% ตามลำดับ โดยกำไรสุทธิ 1Q59 เติบโตก้าวกระโดด 37% y-o-y เพราะรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPar) และอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง แนวโน้มยังไปได้ดี ตามทิศทางของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรมของไทย และประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่มากขึ้นของบริษัทเองด้วย คงคำแนะนำซื้อ โดยปรับราคาพื้นฐานใหม่ขึ้นเป็น 5.70 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]