- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 11 May 2016 16:44
- Hits: 820
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET น่าจะฟื้นตัวตามสินค้าโภคภัณฑ์ แม้ยังมีแรงขายรับงบ 1Q59 ในหุ้น Real sector กลยุทธ์ให้ถือหุ้นที่กำไรเด่นในปี 2559 (TMT, PTT, IRPC, COM7, RS) Top picks คือ LPH([email protected]) และ COM7(FV@B9) (ทั้ง 2 กลุ่มฯ มีโอกาสให้ผลตอบแทนชนะ SET ใน พ.ค.) และเพิ่ม SEAFCO([email protected]) การเติบโตปีนี้ชัดเจนขึ้น
รัฐอนุมัติเงินกู้กองทุนอ้อยและน้ำตาล หนุนอุตสาหกรรมอ้อยโดยรวม
ที่ประชุม ครม.วานนี้มีมติให้เงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่ประสบปัญหาจากภัยแล้ง ฤดูกาลผลิต 2558/2559 ในอัตรา 160 บาท/ตันอ้อย ผ่านการให้เงินกู้ยืมแก่ กองทุนอ้อยและน้ำตาล 1.5 หมื่นล้านบาท สำหรับปีผลผลิต 2559/2560 (เพิ่มจาก ธ.ค. 2559 - เม.ย. 2560) ทั้งนี้ปัจจุบันกองทุนดังกล่าว ทำหน้าที่ในการช่วยเหลืออุตสากรรมอ้อยในไทย ซึ่งอยู่ภายใต้ระบบการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างเกษตรกร และโรงงานน้ำตาล อัตรา 70:30 โดยให้นำผลประโยชน์ตั้งแต่ขั้นต้นคือ อ้อยสด นำเข้าโรงหีบน้ำตาล และจำหน่ายผลผลิตทั้งหมด (70% ส่งออก และ 25% ขายประเทศ) มาจัดสรรในอัตราที่ตกลงกัน ในช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยว โรงหีบอ้อยจะต้องจ่ายเงินค่าอ้อยขั้นต้นบางส่วนแก่เกษตรกรไปก่อน แล้วค่อยมาปรับจ่ายส่วนต่าง หลังจากที่คำนวณราคาอ้อยขั้นสุดท้าย
ทั้งนี้หากปีใดราคาขั้นต้น ต่ำกว่าราคาขั้นสุดท้าย โรงงานต้องจ่ายเงินให้เกษตรกรเพิ่มเติมเท่ากับส่วนต่าง (เช่นปีผลผลิต 2558/2559 โรงหีบจ่ายค่าอ้อยขั้นต้น 808 บาทต่อตันอ้อย แต่ราคาขั้นสุดท้ายยังไม่สรุปจนกว่าการส่งออกจะเสร็จสิ้น) แต่ในทางตรงกันข้าม หากราคาขั้นสุดท้ายต่ำกว่าราคาขั้นต้น กองทุนอ้อยและน้ำตาล ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับ โรงงานหีบอ้อยที่จ่ายเกินไป โดยกองทุนฯ จะมีเงินได้จากการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ราว 5 บาทต่อน้ำตาลทราย 1 ก.ก. และในปีนี้คาดจะมีการจัดเก็บเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาน้ำตาลทรายโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตาม ผลผลิตที่ลดลงจากปัญหาภัยแล้ง โดยเฉพาะไทยคาดผลผลิตจะหายไป 10%
ปัญหาขณะนี้คือ นอกจากผลผลิตเสียหายจากภัยแล้งแล้วต้นทุนเกษตรกรสูงเกินกว่า 1 พันบาทต่อต้นอ้อย ซึ่งสูงกว่าราคาอ้อยขั้นสุดท้ายที่ได้รับทุกปี การให้กองทุนฯ จ่ายเงินเยียวยาวเกษตรกรฯ แม้เป็นเหตุการณ์ช่วงสั้นแต่เท่ากับเป็นการช่วยประคับประคองอุตสาหกรรมอ้อยภายใต้ระบบ 70:30 ยังคงอยู่ต่อไป และหนุนอุตสาหกรรมอ้อยโดยรวมของประเทศ
และวันนี้ การประชุมธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (BOT) คาด กนง. จะยืนดอกเบี้ยที่เดิม เนื่องจากมาตรการภาครัฐยังคงมีอยู่ สอดคล้องกับความเห็นของนักวิเคราะห์ในตลาด (Consensus) ที่เชื่อว่า กนง. น่าจะยืนดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5%
สินค้าโภคภัณฑ์กลับมาฟื้นตัว หนุน SET อีกครั้ง
แม้ว่าเศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัว ปริมาณความต้องการน้ำมันโลกยังเติบโตค่อยเป็นค่อยไป และ ปัญหา ปริมาณผลผลิตเกินความต้องการยังมีอยู่ แต่อย่างไรก็ตามปัญหา Supply ที่เริ่มลดลง จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ฝั่งสหรัฐที่ลดกำลังการผลิตลงเฉลี่ย 8-9 แสนบาร์เรลต่อวัน (คาดการณ์เฉลี่ยทั้งปีที่ 8.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน) สะท้อนจากจำนวนหลุมขุดเจาะน้ำมันที่ระดับ 415 หลุม (จากระดับสูงสุดที่ 4,530 หลุม) ผนวกกับเหตุการณ์ไฟไหม้แหล่งผลิต oil sand ขนาดใหญ่ในแคนาดาสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และล่าสุด ปัญหาการโจมตีในแหล่งผลิตน้ำมัน ของ ประเทศไนจีเรีย (ผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 1 ในทวีปแอฟริกา) ทำให้คาดว่าปริมาณผลิตน้ำมันดิบโดยรวมน่าจะหายไปจากตลาดราว 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ Dollar Index ที่เริ่มชะลอการแข็งค่า ( หลังจากแข็งค่าขึ้นไป ราว 1.25% นับจากตั้งแต่ต้นเดือน) ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่หนุนให้สินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัว โดยเฉพาะ ราคาน้ำมันโลกยังคงแกว่งในแดนบวก โดยราคาน้ำมันตลาดล่วงหน้า WTI ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 4% จากวันก่อนหน้า อยู่ที่ 45.52 เหรียญฯต่อบาร์เรล) ขณะที่น้ำมันดิบดูไบยังคงแกว่งตัว 40-42 เหรียญฯต่อบาร์เรล
ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่มีการทำ new high คือ กากถั่วเหลือง ปรับตัวขึ้นกว่า 33.10% ytd ซึ่งเป็นการปรับขึ้นกว่า 31.92% ตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา ล่าสุดอยู่ที่ 362.80 เหรียญต่อตัน ขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่ เอื้อประโยชน์ต่อ TVO([email protected]) แต่เนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นแรงกว่า 20% ช่วง 1 เดือน ทำให้ราคาหุ้นมี upside จำกัด จึงแนะนำให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
ตามมาด้วยน้ำตาลทราย ล่าสุด 16.02 เซ็นต์ต่อปอนด์ เพิ่มขึ้น 9.43% ytd ใกล้เคียงกับสมมติฐานที่นักวิเคราะห์ของ ASPS ประเมินไว้ที่ 15.5 เซ็นต์ต่อปอนด์ (มีโอกาสจะดีกว่าสมมติฐานได้) และมีแนวโน้มราคาปรับตัวขึ้นไปทดสอบ High เดิม ที่ 16.71 เซ็นต์ต่อปอนด์ ดีต่อ KSL([email protected]) แนะนำสะสม
ยางพารา พบว่าปรับตัวขึ้นราว 55.46% ytd ล่าสุดที่ 1,815 เหรียญฯ/ตัน และ ยางแท่งปรับขึ้น 24% ytd มาอยู่ที่ 1,463 เหรียญฯ/ตัน ดีต่อ STA แต่ราคาหุ้นขึ้นมาเร็ว และตอบสนองต่อราคายางฯ ดังกล่าวแล้ว ระยะสั้นให้ switch จาก STA มายัง KSL
และเหล็ก พบว่าราคาสินแร่เหล็ก 62% Fe ที่ท่าเรือ Tianjin ล่าสุด อยู่ที่ 54.2 เหรียญฯต่อตัน (เคยสูงสุดที่ 68.7 เหรียญต่อตัน กลางเดือน เม.ย.) ส่งผลให้ราคาสินแร่เหล็กปีนี้เพิ่มขึ้นแรงกว่า 50% ดีต่อ TMT([email protected]) ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานในปี 2559 โดดเด่นมาก
เลือกหุ้น SEAFCO ธุรกิจกำลังเข้าสู่ช่วงขาขึ้น เป็น Top pick ในกลุ่มรับเหมา
SEAFCO ถือเป็นผู้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการเข้าสู่ช่วงวัฏจักรขาขึ้นของอุตสาหกรรมเสาเข็ม เพราะมีจำนวนเครื่องจักรมากที่สุด โดยงานภาครัฐปีนี้ หลายโครงการต้องใช้เสาเข็มและกำแพงกันดินจำนวนมาก ทั้งอาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 และรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ที่มีสถานีใต้ดินมากถึง 10 สถานี ถือเป็นแหล่งงานสำคัญให้กับ SEAFCO ขณะที่ปัจจัยบวกระยะสั้นคือผลประกอบการ 1Q59 คาดว่าจะเติบโตแรง 79%QoQ,74%YoY อีกทั้งยังเตรียมเซ็นงานเพิ่ม 3 โครงการใหญ่เร็วๆ นี้คือ งานเสาเข็มรถไฟทางคู่จิระ-ขอนแก่น จาก CK มูลค่าไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท โครงการเอทไมล์ คอมเพล็กซ์ ในพม่า มูลค่า 200 ล้านบาท และโครงการหลังสวน วิลเลจ เฟส 2 มูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท ฝ่ายวิจัยประเมิน FV อิง PER 18 เท่า ให้ราคาเหมาะสม 11.75 บาท
แรงขายทำกำไรระยะสั้น หลังหุ้น real sector รายงานงบ 1Q59 ยังมีอยู่
ยังเป็น ช่วงของการรายงานงบ 1Q59 ของหุ้นในภาคการผลิต (Real Sector) ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นแรงขายทำกำไรระยะสั้นรายหุ้น หลังจากที่รายงานมาแล้ววหลายบริษัทที่ดีกว่าคาดหมาย คือ ADVANC (FV@B210), TOP (FV@B68) ส่วนที่ย่ำแย่กว่าคาด คือ SNC (FV@B19) ยกเว้น BH (FV@B223) และ BSBM ([email protected]) ส่วนหุ้นที่วานนี้มีการรายงานงบฯ ออกมาเพิ่มเติม คือ หุ้นสินเชื่อเช่าซื้อ และลิสซิ่ง ทยอยประกาศงบฯ ก็มีแรงขายออกมาเช่นกัน ดังนี้
MTLS ([email protected]) วานนี้ราคาลดลงถึง 1.95% หลังรายงานงบ 1Q59 ดีกว่าคาด เติบโตถึง 16.5%qoq และ 54.3%yoy โดยเชื่อว่าภาพรวมกำไรสุทธิใน 3 ไตรมาสข้างหน้า เชื่อว่ายังเดินหน้าทำ new high ได้ต่อเนื่อง จากการเติบโตของสินเชื่อ ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายและสำรองหนี้ฯ ที่มีแนวโน้มลดลง โดยรวมคาดกำไรสุทธิปีนี้เติบโตถึง 36.0%yoy คงคำแนะนำ ซื้อ
SAWAD (FV@B64) วานนี้ราคาลดลง 1.68% โดยงวด 1Q59 ใกล้เคียงคาด เติบโตถึง 5.9%qoq และ 51.2% yoy ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 2Q59 คาดว่าจะอ่อนตัวลงจากงวด 1Q59 เนื่องจากเป็นช่วง low season ของธุรกิจ ทั้งการขยายสินเชื่อและการเรียกเก็บหนี้ เนื่องจากมีวันหยุดยาว และเป็นช่วงเทศกาลเปิดเทอม อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิปี 2559 เติบโตถึง 35.3%yoy ยังแนะนำ ซื้อ
เช่นเดียวกับหุ้นสินเชื่อแฟคตอริ่ง IFS ([email protected]) วานนี้ราคาลดลง 0.78% งวด 1Q59 เติบโต 3.1% qoq และ 20.5% yoy โดย2Q59 คาดกำไรยังทรงตัวสูงใกล้เคียงกับงวด 1Q59 จากสินเชื่อแฟคตอริ่งกลับมาเติบโตดีขึ้น ฝ่ายวิจัยเพิ่มประมาณการปีนี้และปีหน้าขึ้น ส่งผลให้ปี 2559 และ 2560 เติบโต 16.2% yoyและ 10.5% yoy ตามลำดับ ยังคงคำแนะนำ ซื้อ พร้อมจุดเด่นเงินปันผลกว่า 6%
ส่วนหุ้น real sector อื่นๆ ที่ถูกขายทำกำไรหลังประกาศงบฯ เช่น
TU (FV@B25) วานนี้ราคาลดลง 0.47% งวด 1Q59 ตามคาด เติบโต 62.5%qoq แต่ลดลง 18.3%yoy ส่วนงวด 2Q59 แนวโน้มกำไรฟื้รตัวและสูงสุดในงวด 3Q59 จากช่วง high season ของธุรกิจ ตามคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นโดยรวมปี 2559 กำไรฯ เติบโต 21.9%yoy คงคำแนะนำ ซื้อ
IVL (FV@B35) วานนี้ราคาลดลง 1.74% หลังรายงานงบ 1Q59 ดีกว่าคาด กำไรจากการดำเนินงานเติบโตถึง 114.8%qoq และ 20%yoy ส่วน 2Q59 คาดกำไรจากการดำเนินงานจะเติบโตต่อเนื่องอีก 50%qoq จากการเดินเครื่องโรงงาน MEG และรับรู้รายได้ M&A ใหม่ โครงการ นักวิเคราะห์จึงเพิ่มประมาณการฯ ปี 2559 ขึ้น ส่งผลให้ปี 2559 เติบโตสูงถึง 70.6%yoy ขณะที่กำไรปกติจะเติบโต 10%yoy จึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ
ยกเว้น GPSC (FV@B32) วานนี้ราคาหุ้นปรับขึ้น 0.81% หลังจากงวด 1Q59 ดีกว่าคาด เพิ่มขึ้นถึง 160.0%qoq แต่คาดกำไรงวด 2Q59 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจาก 1Q59 เนื่องจากไม่มีบันทึกเงินปันผลรับ และผลกระทบจากการปรับค่า Ft ลง อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่นักวิเคราะห์จะปรับประมาณการฯ ปีนี้ขึ้น เพื่อสะท้อนกำไร 1Q59 ที่ดีกว่าคาดมาก อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นแรงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ upside จำกัดมาก จึงแนะนำเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
KCE (FV@B100) วานนี้ราคาปรับขึ้น 0.97% โดยงวด 1Q59 กำไรดีกว่าคาดเล็กน้อย เติบโต 46.9%qoq และ 12.9%yoy สำหรับแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q59 คาดจะทำ new high ต่อเนื่องเติบโต 7.4% qoq และ 63.3% yoy ส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2559 คาดจะเติบโตอย่างมีนัยฯ ถึง 39.6% yoy จึงยังแนะนำ ซื้อ
เช่นเดียวกับ GFPT (FV@B13) วานนี้ราคาปรับขึ้น 1.64% โดยงวด 1Q59 ตามคาด ลดลง 39% qoq (แต่เพิ่มขึ้น 26% yoy) สำหรับแนวโน้มกำไรสุทธิงวด 2Q59 จะเติบโต 13.1% qoq จากการเริ่มเข้าช่วง high season โดยรวมคาดกำไรจากการดำเนินงานปี 2559 จะเติบโต 5.5% yoy อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside จำกัด ฝ่ายวิจัยจึงยังแนะนำ Switch ไป TU(FV@B25) หรือ KSL([email protected])
ต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคติดต่อกัน 9 วันทำการ
วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 9 ด้วยมูลค่า 98 ล้านเหรียญ โดยเป็นการขายทุกตลาด ยกเว้น เกาหลีใต้แห่งเดียวที่ยังซื้อสุทธิราว 50 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) ตลาดที่ถูกขายมากสุด นำโดยไต้หวัน ขายสุทธิ 89 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 9) เช่นเดียวกับประเทศในกลุ่ม TIP อย่างฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่ถูกขายสุทธิ 15 ล้านเหรียญ และ 8 ล้านเหรียญ ตามลำดับ และ ไทยถูกขายสุทธิราว 37 ล้านเหรียญ หรือ 1.3 พันล้านบาท (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 โดยมียอดขายสุทธิรวม 4.6 พันล้านบาท) สวนทางกับนักลงทุนสถาบันฯที่ซื้อสุทธิราว 374 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1.4 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 223 ล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์