- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 10 May 2016 18:08
- Hits: 3318
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เก็งกำไรผลประกอบการ'
Stock Picks-May 2016 : Fundamental : ADVANC, AOT, BA, LPH, TMT
Dark Horse : FSMART, RS
Fundamental Pick -Today: MTLS(ดู Theme ลงทุนด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : BJC 45%, GUNKUL 44%, BLA & AMATA 31%, KBANK 20%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ
Support Resistance Stop Loss
SET 1370-1360 1400-1410,1420 ค่าลบ
SET50 870-860 895-905,910 ค่าลบ
Technical Picks - Today SAWAD, SCI, CPN, TCC, TPBI, TKN, TNP, TVO
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : PACE (จากซื้อเป็น ถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยวานนี้พลิกกลับมาบวกได้ ปิดตลาด +3.44 จุดที่ 1394.14 นำโดยหุ้นหลักในกลุ่มพลังงาน คือ PTTEP, PTT และหุ้น Big Cap อื่นๆ เช่น SCC, AOT, CPF, THAI, EGCO เป็นต้น นักลงทุนสถาบันในประเทศกลับมาซื้อสุทธิ 760 กว่าล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิต่อ 1.9 พันล้านบาท ส่วนพอร์ตบล.และต่างชาติขายสุทธิ
ปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงสั้นเป็น การรายงานผลประกอบการ 1Q59 ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหุ้นที่เป็น Mid-Small Cap หลายบริษัทมี Core Profit ที่เติบโตแข็งแกร่งเกินคาด (ที่อยู่ใน Coverage ของ DBSV จะเป็น MTLS, TU เป็นต้น) เราจึงคาดว่าแม้ดัชนีจะผันผวนแต่ก็ยังไม่ลงแรงในช่วงรายงานผลประกอบการ ซึ่งจะทยอยออกมาถึงกลางเดือนพ.ค.59 แต่หลังจากนั้นควรระวังการปรับฐานหากไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุน ส่วนการประชุมกนง.วันพุธที่ 11 พ.ค.นี้ถ้าคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ก็เป็นไปตามคาดของตลาด สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด ถึงจะมีการคาดการณ์ในเชิงบวกกับการฟื้นตัวและเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐแต่เรามองว่าเฟดจะยังไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วๆนี้ เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก การปรับขึ้นของราคาโภคภัณฑ์ยังมาจากการเก็งกำไรมากกว่าการเติบโตของอุปสงค์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน กลยุทธ์ : เก็งกำไรรอบสั้น ไม่ควรหวัง Gap กำไรมากเกินไป การลงทุนระยะกลาง-ยาวเน้นทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีและมีปันผล สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น MTLS
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ การรีบาวด์สั้นๆสามารถเกิดขึ้นต่อได้ แนวต้านระยะสั้น 1400-1410 หรือ 1420 จุด แนวตัดขาดทุน คือ SET ต่ำกว่า 1385 จุด แนวรับระยะสั้น 1370-1360 จุด ซื้อเก็งกำไรเมื่อดัชนีและราคาหุ้นเป็นบวก/ซื้ออ่อนตัวที่แนวรับ
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี น่าสนใจซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก หุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ SAWAD,MTLS,TCC,TPBI,TNP,TVO
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
ญี่ปุ่น : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.59 ลดลง 0.9 จุดเป็น 40.8 เนื่องจากตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงหนักและราคาน้ำมันเบนซินสูงขึ้น ทั้งนี้ตัวเลขที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่น
+/- สหรัฐ : ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้น โดยเป็นผลจากการที่นายอีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก ได้แสดงมุมมองในด้านบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ โดยกล่าวว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงแข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะขยายตัวราว 2.5% ในปี 59 พร้อมกับคาดว่าอัตราการว่างงานของสหรัฐจะปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.75% (จากปัจจุบันที่ 5.0%)
ตลาดหุ้นสหรัฐ : อ่อนลงเล็กน้อย โดยหลักมาจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงฉุดหุ้นกลุ่มพลังงาน และตัวเลขภาคแรงงานเดือนเม.ย.ของสหรัฐออกมาอ่อนแอกว่าคาดทำให้กังวลกับการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ตลาดหุ้นก็ยังได้อานิสงค์จากการคาดการณ์ว่าเฟดยังไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ย รวมทั้งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับขึ้นช่วยให้การลดลงไม่มาก ปิดตลาดดัชนี DJIA อยู่ที่ 17,705.91 จุด ลดลง 34.72 จุด ส่วนดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิด +0.3% และ +0.08%
ราคาน้ำมันดิบ : ร่วงลงราว 3% หลังซาอุฯปลดรมว.น้ำมัน มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลซาอุดิอาระเบียได้ปลดนายอาลี อัล-ไนมี รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมัน หลังประเทศถูกกระทบจากภาวะราคาน้ำมันตกต่ำ และไฟป่าในแคนาดาได้บรรเทาลงแล้ว ปิดตลาดสัญญาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ส่งมอบเดือนมิ.ย.ร่วงลง 1.22 และ 1.74 ดอลลาร์ หรือ -2.7% และ -3.8% ปิดที่ 43.44 และ 43.63 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามลำดับ
- ราคาทองคำ : ดิ่งแรง เนื่องจากประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในด้านบวกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้น ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในระยะสั้นมาก สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนมิ.ย.ร่วงลงถึง 27.40 ดอลลาร์ หรือ -2.12% ปิดที่ระดับ 1,266.60 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ
+ MTLS (ราคาปิด 20.50 บาท, ราคาพื้นฐาน 32 บาท) : กำไร 1Q59 ออกมาดีเกินคาด โดยเท่ากับ 280 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 54%YoY และดีกว่าที่เราประมาณการไว้ 9% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ของบริษัท (Record High) นับว่ากำไรน่าประทับใจมาก ด้าน NPL Ratio ยังต่ำกว่า 1% และ Coverage Ratio สูงกว่า 200% ทั้งนี้บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อไว้ที่ 50% ต่อปีในช่วงปี 59-60 ซึ่งมาจากการเติบโตของสาขาเดิมและการขยายสาขาใหม่ ณ ปลายปี 58 มีสาขาทั้งหมด 940 แห่งเพิ่มจากปลายปี 57 ที่ 506 แห่ง และมีเป้าหมายการเปิดสาขาใหม่ 450 แห่งในปีนี้ และ 400 แห่งในปี 60 ในเชิงกลยุทธ์เห็นว่า MTLS เป็นหุ้นเติบโตหนึ่งที่น่าสนใจ คาดการณ์กำไรสุทธิปี 59-60 เติบโต 41% และ 39% ตามลำดับ แนะนำซื้อ โดยฝ่ายวิจัยฯ DBSV ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 32 บาท
+ TU (ราคาปิด 21.50 บาท, ราคาพื้นฐาน 22.30 บาท) : Core Profit งวด 1Q59 เติบโตเกือบเท่าตัวเทียบ YoY เป็น 967 ล้านบาท เนื่องจากผลประกอบการดีขึ้นในทุกธุรกิจ ทำงบการเงินรวมกับ Rugen Fisch ตั้งแต่เดือนก.พ.59 อัตรากำไรสูงขึ้นจากต้นทุนทูน่าในสต็อกต่ำ ค่าใช้จ่ายการเงินต่ำลงหลังชำระคืนหนี้บางส่วน และเงินบาทอ่อนค่าในไตรมาสนี้ แต่เทียบ QoQ แล้วหดตัว 27% เพราะปัจจัยฤดูกาล ส่วนกำไรบรรทัดสุดท้ายลดลงเพราะในช่วง 1Q58 มีกำไรจาก FX สูงมาก แนวโน้มไปได้ดี ราคาทูน่ายังคงสูงได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งเป็นบวกกับธุรกิจ OEM ที่เป็นทูน่าของบริษัท ทาง DBSV ยังคงคาดการณ์ว่า Core Profit ของ TU ปีนี้จะเติบโตได้ 26% โดยเป็นการเติบโตจากธุรกิจที่มีอยู่และการเข้าซื้อกิจการ แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 22.30 บาท (อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับขึ้น)
ADVANC (ราคาปิด 151 บาท, ราคาพื้นฐาน 180 บาท) : กำไรสุทธิ 1Q59 ลดลง 18%YoY และ -25%QoQ เป็น 8.1 พันล้านบาท ทั้งนี้รายได้รวมหดตัว 8%YoY ซึ่งเป็นผลจาก 1) ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวทำให้การใช้โทรศัพท์ลดลง รายได้ค่าเชื่อมโยงเครือข่ายต่ำลง, 2) รายได้ด้านเสียงต่ำลงตามพฤติกรรมผู้บริโภค, และ 3) ขาดทุนจากการอุดหนุนเครื่องโทรศัพท์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม Core Profit ในไตรมาสนี้หดตัวเพียง 9%YoY โดยบริษัทยังไม่ได้ตัดค่าใช้จ่ายให้กับ TOT ในไตรมาสนี้ ขณะที่ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ได้ใส่ค่าใช้จ่ายไปในประมาณการแล้ว 1 หมื่นล้านบาทในปี 59 ซึ่งคาดว่าค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าคาดนี้จะไปชดเชยกับรายการอื่นที่อ่อนกว่าคาดได้ จึงคงประมาณการกำไรปี 59 และราคาเป้าหมายไว้ที่ 180 บาท แนะนำซื้อ คาดการณ์ Dividend Yield ปีนี้ 7.6% (ประมาณการปันผลปีนี้ไว้ที่ 11.50 บาท/หุ้น)
การเมืองไทย : สถาบันจัดอันดับ S&P ประเมิน 2 ปีหลังรัฐประหารในเดือนพ.ค.59 ไทยก็ยังมีความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยรัฐบาลทหารยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างชัดเจนว่าจะปฏิรูปประเทศจะไปในทิศทางใด และมีความพยายามที่จะยืดอายุการเลือกตั้งออกไปจากที่เคยกำหนดไว้กลางปี 2560
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : [email protected]