- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 10 May 2016 17:01
- Hits: 878
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ยังอ่อนแรง ตราบที่ไม่มีประเด็นใหม่หนุน กลยุทธ์ถือหุ้นไม่เกิน 40% ของเงินลงทุน โดยเลือกถือรายหุ้น กำไรงวด 1Q59 สดใส ราคาหุ้นมี upside (TMT, PTT, IRPC, KSL, COM7, RS) วันนี้เลือก Top picks คือ LPH([email protected]) และ COM7(FV@B9) เพราะทั้ง 2 อยู่ในกลุ่มฯ มีโอกาสให้ผลตอบแทนชนะตลาดใน พ.ค. ของทุกปี
กนง. น่าจะคงดอกเบี้ยต่อไป ตราบที่เศรษฐกิจในประเทศยังชะลอตัว
ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งมีน้ำหนักรุนแรง จนหักล้างแผนกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐที่ดำเนินมาต่อเนื่องนับจากปลายปี 2558 โดยเฉพาะการกระตุ้นไปที่ระดับรากหญ้าและ SMEs อาทิ เงินกองทุนหมู่บ้านๆ 5 แสนบาท บ้านประชารัฐ เงินช่วยเหลือฉุกเฉินเกษตรกรที่เผชิญปัญหาภัยแล้ง ช็อปช่วยชาติรอบ 2 เป็นต้น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน เม.ย. ยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ทำให้คาดว่า การประชุมธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (BOT) วันพรุ่งนี้11 พ.ค. กนง. น่าจะยืนดอกเบี้ยที่เดิม เพราะเชื่อว่า กนง. น่าจะเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น เพราะขณะนี้มาตรการภาครัฐยังคงมีอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ในตลาด (Consensus) ส่วนใหญ่ เชื่อว่า กนง. น่าจะยืนดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ต่อไป
ขณะที่การประชุมของธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลกในสัปดาห์นี้มีอีกแห่ง คือ 12 พ.ค. เป็นการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ(BOE) ตลาดคาดยังดอกเบี้ยที่ 0.5% ตามเดิม แต่ประเด็นที่ตลาดให้น้ำหนัก คือ การทำประชามติ เพื่อหยั่งเสียงประชาชน จะสนับสนุนให้อังกฤษออกจากการเป็นประเทศสมาชิกในยูโรหรือไม่ในวันที่ 23 มิ.ย. ซึ่งถือว่ามีผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินและเศรษฐกิจของอังกฤษและกลุ่มยูโรโซน
และในวันเดียวกับการประชุม BOE จะมีการประชุมธนาคารกลางฟิลิปปินส์ คาดยังคงดอกเบี้ยที่ 4% (ต่อเนื่องตั้งแต่ ก.ย. 2557) และ 13 พ.ค.จะมีการประชุมธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) ตลาดคาดคงดอกเบี้ยที่ 1.5% ตามเดิม (ยืนระดับนี้ต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2558)
โดยรวม การที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเน้นนโยบายการเงินแบบผ่อยคลาย ถือว่ายังช่วยประคับประคองเศรษฐกิจและตลาดหุ้น จนกว่าเศรษฐกิจโลกจะมีสัญญาณการฟื้นตัว
มีแรงขายทำกำไรระยะสั้น หลังหุ้น real sector ประกาศงบงวด 1Q59
เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการรายงานงบ 1Q59 ของหุ้นในภาคการผลิต (Real Sector) จากการประเมินเบื้องต้น พบว่า ผลการดำเนินงานที่ประกาศออกมาไม่ว่าจะดีกว่าคาด, ตามคาด หรือต่ำกว่าคาด มักจะมีการ sell on fact หรือ take profit ขายทำกำไรออกมา อาทิ
ADVANC (FV@B210) วานนี้ราคาลดลงถึง 2.27% สะท้อนการรายงานกำไรสุทธิออกมาตามคาดที่ 8 พันล้านบาท ซึ่งลดลงกว่า 26%qoq และ 19%yoy และงวด 2Q59 คาดว่ากำไรจะทำจุดต่ำสุดของปีนี้ ตามค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการทำโปรโมชั่นแจกเครื่อง และเริ่มรับรู้รายจ่ายค่าเช่าคลื่นและทรัพย์สินอื่นๆ ก่อนฟื้นตัวหลังจากนั้น โดยรวมคาดการณ์กำไรปีนี้ ลดลง 22%yoy แต่จะกลับมาฟื้นตัวได้ราว 15% ในปีหน้า ยังคงคำแนะนำ ทยอยสะสมในภาวะที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น
TOP (FV@B68) วานนี้ราคาลงถึง 2.75% แม้งวด 1Q59 กำไรดีกว่าคาด เติบโต 26.1%qoq และ 5.1%yoy แต่แนวโน้มงวด 2Q59 คาดกำไรอาจลดลงตามค่าการกลั่น ขณะที่ spread อะโรเมติกส์ในงวด 2Q59 คาดจะประคองตัวจากงวด 1Q59 และคาด Spread จะอ่อนตัวลงในงวด 3Q59 เนื่องจากจะมี supply พาราไซลีนใหม่เกิดขึ้น แต่อาจชดเชยได้ด้วยกำไรจากการสต๊อกน้ำมัน โดยรวมปี 2559 เติบโต 8.9%yoy แต่เนื่องจาก upside ค่อนข้างจำกัด จึงแนะนำ “switch” เข้าลงทุนใน PTT (FV@330)
ขณะที่หุ้นขนาดเล็กอย่าง SNC (FV@B19) วานนี้ราคาลงแรงถึง 5.6% สะท้อนการรายงานกำไรสุทธิออกมาลดลง 6.6%yoy (แต่ขยายตัว 82.5%qoq) เนื่องจากยอดขายที่ลดลง อย่างไรก็ตามคาดว่างวด 2Q59 จะกลับมาเติบโต yoy อีกครั้ง จากงานชิ้นส่วนยานยนต์ที่มี margin สูง และบริษัทย่อยขาดทุนลดลง โดยรวมปี 2559 เติบโต 11.2%yoy และมี Div. Yield สูงถึง 6% จึงเป็นโอกาสให้ซื้อสะสม
ยกเว้น BH (FV@B223) วานนี้ราคาปรับขึ้นเล็กน้อย 1.49% ขณะที่งวด 1Q59 กำไรใกล้เคียงคาด ทรงตัว yoy และเติบโต 27.16%qoq ส่วน 2Q59 คาดยังทรงตัวเนื่องจากเข้าสู่ low season จึงต้องคาดหวังในช่วง 2H59 ต้องมีกำไรดีกว่างวด 1H59 จึงจะยืนประมาณการเดิม ขณะที่ราคาหุ้นมี upside 9% จึงแนะนำ switch ไป “ซื้อ” LPH([email protected])
และ BSBM ([email protected]) วานนี้ราคาปรับขึ้นเล็กน้อย 0.96% ผลประกอบการงวด 1Q59 พลิกกลับเป็นกำไรสูงสุดรายไตรมาสรอบ 6 ปี และแนวโน้มสดใสต่อเนื่องงวด 2Q59 โดยรวมคาดปี 2559 กำไร turnaround จากปี 2558 แต่ราคาหุ้นมี upside จำกัด แนะนำ switch ไป TMT ([email protected])
ต่างชาติขายสุทธิหุ้นทั้งภูมิภาค
วานนี้ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เป็นแห่งเดียวที่หยุดทำการ เนื่องจากเป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยภาพรวมแล้วพบว่าต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องวันที่ 8 ด้วยมูลค่ากว่า 446 ล้านเหรียญ และเป็นการขายสุทธิทั้ง 4 ประเทศ นำโดย ไต้หวันขายสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 225 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 8) รองลงมาคือ เกาหลีใต้ขายสุทธิราว 132 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 2 วัน) อินโดนีเซียขายสุทธิ 34 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 8) และไทยขายสุทธิราว 54 ล้านเหรียญ หรือ 1.9 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้พบว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 1.1 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 1.5 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) โดยรวมทำให้เงินบาทยังคง ทรงตัวถึงอ่อนค่าที่ราว 35.25 บาท/ดอลลาร์
สถิติอดีตระบุว่า SET เดือน พ.ค. มักติดลบ แต่หุ้นที่ชนะตลาด คือ โรงพยาบาล/ค้าปลีก
สรุปว่าเดือน เม.ย. SET Index ให้ผลตอบแทนติดลบ 0.22% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่เฉลี่ย 3.5% ซึ่งน่าจะได้รับแรงกดดันของหุ้นหลายกลุ่มฯ อาทิ ธ.พ. และกลุ่ม ICT อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณารายกลุ่มฯ พบว่ามีอยู่ 2 กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาดคือ พลังงาน และ โรงพยาบาล ซึ่งสอดคล้องกับค่าสถิติย้อนหลัง 10 ปี (กลุ่มพลังงาน ให้ผลตอบแทน 5.52% VS สถิติอดีตเฉลี่ย 5.20%, โรงพยาบาลให้ผลตอบแทน 3.79% VS สถิติอดีตเฉลี่ย 6.53%) และหากพิจารณารายหุ้นของแต่กลุ่มฯ ที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาดตามคาด คือ PTT(8.57%), PTTEP(7.11%) และ BDMS(5.12%) ยกเว้น KCE ที่ปรับฐาน แม้แนวโน้มธุรกิจส่งออกชิ้นส่วน (เน้นรถยนต์ hitech) ยังคงสดใสก็ตาม
ในขณะที่เดือน พ.ค. คาด SET Index น่าจะแกว่งตัวในทิศทางขาลงเล็กน้อย ทั้งนี้สถิติ ย้อนหลัง 10 ปี (2549-2558) พบว่าเดือนนี้ SET มักจะอ่อนตัวราว 0.29% แต่ด้วยความน่าจะเป็นน้อย 40% จึงให้ภาพที่ไม่ชัดเจน แต่เมื่อพิจารณารายกลุ่มพบว่า กลุ่มฯ ที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาด ด้วยความน่าจะเป็นมากกว่า 70% ขึ้นไปคือ ประกัน, โรงพยาบาล และ ค้าปลีก
ประกัน คาดให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.17% ด้วยความน่าจะเป็น 80% นำโดย THRE([email protected]) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.75% ด้วยความน่าจะเป็น 70% ซึ่งทำธุรกิจรับประกันภัยต่อ ทั้ง life และ non-life แต่ด้วยมูลค่าหุ้นที่เหมาะสม (อิง PBV 2 เท่า อยู่ที่ 2.9 บาท) มี Upside เพียง 7% switch ไปลงทุน BKI (FV@435B) ซึ่งเน้นธุรกิจประกันภัย จึงไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาลงเหมือนธุรกิจประกันชีวิต ขณะที่จุดเด่นคือ เงินปันผลสูง 3.62%ต่อปี (กำไรปี 2559 คาดว่าจะเติบโต 9.73% จากปี 2558 และ 10.48% ในปี 2560 ภายใต้สมมติฐานได้มีความเสียจากประกันภัยในปี 2559 -2560 )
โรงพยาบาล คาดจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.4% ด้วยความน่าจะเป็น 80% นำโดย BH(FV@B223) ให้ผลตอบแทน 4.83% ด้วยความน่าจะเป็นเท่ากันที่ 70% แต่การเติบโตที่จำกัด และราคาหุ้นที่มี upside เพียง 9% ตามมาด้วย BDMS(FV@B25) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.24% ด้วยความน่าจะเป็น 70% แม้กำไรปี 2559 จะเติบโตราว 13% และอีก 14% ในปี 2560 แต่ upside จำกัดเช่นกัน จึง ให้ “Switch” จากหุ้นทั้ง 2 มายังหุ้น” LPH([email protected]) ซึ่งคาดว่าจะมีผลประกอบการเติบโตโดดเด่นสุดในกลุ่ม โดยงวด 1H59 คาดเติบโตสูงเกิน 100% yoy และเลือกเป็น Top pick
ค้าปลีก จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.12% ด้วยความน่าจะเป็น 70% หุ้นเด่นคือ ROBINS(FV@B55) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.45% ด้วยความน่าจะเป็นที่ 70% แต่เนื่องจากราคาหุ้นเต็มมูลค่าแล้วแนะนำขายทำกำไรระยะสั้น และ MAKRO(FV@B44) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.82% ด้วยความน่าจะเป็น 70% แต่มีความเสี่ยงที่ ASPS จะปรับประมาณการกำไรปีนี้ เพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว จึงแนะนำให้ switch จากทั้ง 2 บริษัท มายัง COM7(FV@B9)ด้วยจุดเด่นที่เป็น Growth stock ด้วย EPS growth เฉลี่ย 42% ปีนี้ และ 23% ปีหน้า และมีโอกาสปรับเพิ่มกำไร หากแผนการเป็นพันธมิตรกับ TRUE บรรลุเป้าหมายตามที่ COM7 คาดการณ์ไว้
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์