- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 26 April 2016 17:03
- Hits: 711
บล.เอเชีย เวลท์ : Daily Market Outlook
จับตาการประชุม Fed และ BOJ
คาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบวันนี้ แนวโน้มปรับตัวลงด้วยนักลงทุนน่าจะชะลอการลงทุน รอดูผลการประชุมของ Fed และ BOJ ก่อน แม้ว่าจะมีโอกาสน้อยมากที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้ แต่เจ้าหน้าที่ของ Fed ยังคงพูดว่าอาจจะปรับดอกเบี้ยขึ้นในเดือน มิ.ย. ในขณะที่มีโอกาสสูงที่ BOJ จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มอีก ราคาน้ำมันที่ลดลง น่าจะกดดันหุ้นพลังงานทำให้นักลงทุนชะลอไปโดยปริยาย ปัจจัยภายในประเทศมีเพียงการส่งออกที่เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันในเดือน มี.ค. และสูงกว่า 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆเดือน ถือเป็นปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจของไทยในไม่กี่ประการ
หุ้นเด่นวันนี้ : STEC (Bt23; NR; Bloomberg 16TPBt26)
แม้ STEC มีกำไรจากการดำเนินงานปกติแย่ลงในปีที่แล้ว โดยหากหักกำไรพิเศษจากการตีราคาทรัพย์สินออกไป 448 ล้านบาท กำไรปกติอยู่ที่ 1.08 พันล้านบาท (EPS 0.71 บาท) ลดลง 29%YoY สาเหตุหลักเพราะบันทึกผลขาดทุนโครงการก่อสร้างรัฐสภาใหม่ที่ล่าช้าทำให้ต้นทุนสูงกว่าที่ประเมินไว้ STEC ตั้งสำรองผลขาดทุนไว้แล้วราว 500 ล้านบาท แต่เชื่อว่าปัจจัยร้ายนี้ผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้ว และคาดว่าในปี 2559 นี้ จะมีกำไรปกติกลับมาดีขึ้น โดย Bloomberg consensus ประเมินกำไรไว้ 1.2 พันล้านบาท คิดเป็น EPS 0.82 บาท เพิ่มขึ้น 15%YoY โดย Backlog ที่ STEC รับเข้ามาใหม่ในปี 2558 ถึงต้นปี 2559 ส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจการสร้างโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นงานที่ STEC ชำนาญ และสามารถสร้างมาร์จิ้นได้ดี นอกจากนี้ ในปี 2559-2560 คาดว่าจะมีโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐเปิดประมูลอีกมากส่วนใหญ่เป็นรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ทางรถไฟรางคู่ มอเตอร์สเวย์ และการขยายสนามบิน
ขณะที่ STEC เป็นหนึ่งในผู้ที่ผ่านคุณสมบัติในการรับงานของทางราชการ จึงมีแนวโน้มที่ STEC จะเพิ่มยอด Backlog ทั้งงานราชการและเอกชนได้อีกราว 35,000-50,000 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้น STEC มีค่า PER ปี 2559 ขึ้นมาที่ 28.8 เท่า แต่เชื่อว่าปี 2559 และ 2560 STEC จะเพิ่มมาร์จิ้นและกำไรสุทธิได้ต่อเนื่อง และทำให้ค่า PER ในปี 2560 ลดไปเป็น 25.8 เท่า ความน่าสนใจของหุ้นนี้อยู่ที่มีปันผลและภาระหนี้ต่ำมาก มีสถานะเป็น Net Cash จึงน่าสนใจซื้อ ราคาเป้าหมายตาม Bloomberg Consensus 26 บาท มุมมองทางเทคนิค Price Pattern ของ STEC ยังคงมีความแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะกลางจากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Buy Signal แต่ยังคงโดนกดดันจากการเกิด Monthly Sell Signal อยู่ ทั้งนี้เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ STEC ที่สามารถ Break ด้วยการปิดตลาดเหนือเป้าหมายถัดไปที่ 22 บาทไปได้นั้น ทำให้คาดว่า Price Pattern ของ STEC น่าจะปรับตัวขึ้นไปทดสอบเป้าหมายสำคัญที่ 24.40 บาท โดยมีจุด Stop Loss รอบนี้อยู่ที่ 21.20 บาท (Resistance: 23.20, 23.40, 23.60; Support: 22.90, 22.70, 22.50)
ปัจจัยสำคัญ
ประเด็นในประเทศ :
ยอดส่งออก มี.ค. เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 รัฐบาลคงเป้าการเติบโต กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขส่งออก มี.ค. เพิ่มขึ้น 1.3% เทียบปีก่อนสู่ 1.9125 หมื่นล้านดอลลาร์หนุนโดยสินค้าอุตสาหกรรมเช่น ยานยนต์ เครื่องจักรและทองคำ ยอดนำเข้าอยู่ที่ 1.6159 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้เกินดุลการค้า 2.966 พันล้านดอลลาร์ใน มี.ค. การส่งออกไปยังเกือบทุกตลาดลดลงหมด รวมถึงสหรัฐและจีนแต่การส่งออกไปยังประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น รัฐบาลคงเป้าการส่งออกเติบโตที่ 5% เพราะมีความเชื่อมั่นจากหลักฐานการปรับขึ้นเป็นเดือนที่ 2 (Bangkok Post)
ประเทศไทยควรยกระดับ TPP ด้วยการสนับสนุนให้ไทยเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (TPP) สหรัฐได้แนะนำให้ไทยปรับเกณฑ์การค้า การลงทุนและสินทรัพย์ทางปัญญาให้ทันต่อสมัยหากต้องการร่วม TPP หลังจาก รมว.พาณิชย์เยือนวอชิงตัน ดีซีเพื่อตกลงเรื่องการค้าและกรอบการลงทุน (The Nation)
บ้านหลังแรกจะได้รับการยกเว้นภาษี เนื่องจากกระทรวงการคลังเตรียมที่จะเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินจากอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้นแทน อย่างไรก็ตามหากบ้านมีมูลค่าสูงเกินกว่า 50 ล้านบาท จะถูกเรียกเก็บภาษี อ้างอิงจากคำกล่าวของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีที่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อก่อนหน้านี้ ทั้งนี้กฎเกณฑ์ภาษีใหม่ที่คาดว่าจะทำให้รัฐมีรายรับเพิ่มขึ้น 3-4 หมื่นลบ. ต่อปี จะยื่นเสนอเพื่อของอนุมัติจากครม. ในเร็วๆ นี้ และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปีหน้า (Bangkok Post)
ข้าวขายภายใน 60 วัน รัฐบาลวางแผนที่จะขายข้าวจำนวน 11.4 ล้านตัน จากคลังสินค้าภายใน 2 เดือนเริ่มต้นอาทิตย์หน้า ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท เพื่อที่จะลดจำนวนข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยแผนดังกล่าวเป็นแผนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเพราะเป้าที่จะขายนี้มากกว่าจำนวนปกติที่รัฐบาลขายต่อปี (Bangkok Post)
ต่างประเทศ
ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเทียบกับเงินเยนเมื่อวันจันทร์ เนื่องจากเทรดเดอร์ได้ทำกำไรจากการที่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเทียบในเงินเยนในช่วงที่ผ่านมา และอ่อนค่าลงเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ก่อนการประชุมเฟด ดอลลาร์สหรัฐแตะที่ระดับต่ำสุดของวันที่ 110.85 เยนหลังจากแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 สัปดาห์ที่ 111.90 เยน ส่วนเงินยูโรปรับตัวขึ้นเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แตะระดับสูงสุดของวันที่ 1.1267 ดอลลาร์สหรัฐหลังจากแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 สัปดาห์ที่ 1.1213 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงแรกของการซื้อขาย (Reuters)
ราคาพันธบัตรสหรัฐลดลงสู่ระดับต่ำสุดของวันเมื่อวันจันทร์ แม้แต่ตัวเลขที่ลดลงของยอดขายบ้านใหม่ในเดือนมี.ค. หนุนมุมมองว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจอ่อนแอในไตรมาส 1/59 ซึ่งจะทำให้เฟดยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ ราคาพันธบัตรอ้างอิงอายุ 10 ปีล่าสุดปิดลดลง 3/32 ให้อัตราผลตอบแทน 1.900% เพิ่มขึ้น 0.01% เทียบกับเมื่อวันศุกร์ (Reuters)
สหรัฐ :
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบเล็กน้อยเมื่อวันจันทร์ ถูกฉุดโดยหุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งร่วงลงตามราคาน้ำมันในขณะที่รายงานผลประกอบการและแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็มีผลต่อตลาดเช่นกัน ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 8 ใน 10 สัปดาห์ที่ผ่านมาและใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ได้บันทึกไว้เมื่อเกือบ 1 ปีก่อน นักลงทุนเห็นว่าเป็นการยากที่จะหาเหตุผลที่จะดันให้ดัชนีสูงไปกว่านี้เนื่องจากการคาดการณ์ผลประกอบการตกต่ำและโอกาสที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Reuters)
ยอดขายบ้านใหม่สำหรับครอบครัวเดี่ยวในสหรัฐลดลงผิดคาดในเดือนมี.ค. แต่การลดลงนั้นกระจุกอยู่ทางฝั่งตะวันตกซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดอสังหาฯ ยังคงกระเตื้องขึ้นอย่างมั่นคง ยอดขายบ้านใหม่ดังกล่าวลดลง 1.5% อยู่ที่ 511,000 ยูนิตต่อปี ยอดขายในเดือนก.พ. ได้ถูกปรับตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 519,000 ยูนิตจากก่อนหน้าที่มีรายงานว่าอยู่ที่ 512,000 ยูนิต นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ก่อนหน้าว่ายอดขายบ้านใหม่ซึ่งคิดเป็น 8.7% ของตลาดอสังหาฯ จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 520,000 ยูนิตในเดือนมี.ค. (Reuters)
ยุโรป :
ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันจันทร์ปรับตัวลดลง พักฐานหลังจากปรับตัวสูงขึ้นในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากตัวเลขความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีรายงานออกมาปรับตัวลดลง รวมไปถึงหุ้น EDF ที่โดนเทขายหลังจากบริษัทฯ ประกาศเพิ่มทุน (Reuters)
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจปรับตัวลดลงผิดคาดในเดือน เม.ย. สู่ระดับ 106.6 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 106.7 ในเดือนมี.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ระดับ 107.0 ในเดือนเม.ย. (Reuters)
เอเชีย :
BOJ พร้อมดำเนินการ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น นายฮารุฮิโตะ คุโรดะ ให้ความชัดเจนเรื่องการซื้อกองทุนหุ้นเพิ่ม โดยจะนำเข้าบรรจุในวาระการประชุม BOJ ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 26 เมษายน ทั้งนี้ด้วยภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำที่เป็นอยู่ ธนาคารกลาง ต้องหาวิธีการทางตรงเพื่อลดต้นทุนการเงินสำหรับการลงทุนที่มีความเสี่ยง สัปดาห์ที่ผ่านมา นายคุโรดะ กล่าวกับรัฐสภา ธนาคารว่าธนาคารจะไม่ลงทุนขนาดใหญ่เกินไปใน ETFs และ ยังคงมีเหตุผลมากมายที่จะกำหนดเป้าหมาย Risk Premium (Reuters)
มีการคาดกันว่า นักลงทุนทั่วโลกจะดึงเงินราว 5.38 แสนล้านเดอลลาร์ฯ จากประเทศจีนที่มีภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ในช่วงปีนี้ อ้างอิงจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ( IIF ) ที่ได้ประเมินเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าการไหลออกของเงินทุนจะชะลอลดลงจากระดับ 6.74 แสนล้านดอลลาร์ฯ ที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วก็ตาม (Reuters)
สินค้าโภคภัณฑ์ :
ราคาน้ำมันลดลง 3% วันจันทร์ เพราะตัวเลขการเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมัน ขณะที่ธนาคารชั้นนำด้านโภคภัณฑ์กล่าวว่าการดีดกลับยาว 2 เดือนของน้ำมันเริ่มเกินพื้นฐาน ราคาน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.09 ดอลลาร์ (2.5%) ปิดที่ 42.64 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากสัปดาห์ที่แล้วที่ขึ้นไปแตะถึงจุดสูงสุดรอบ 5 เดือนที่ 44.49 ดอลลาร์ Brent ปรับลง 63 เซนต์ (-1.4%) ปิดที่ 44.48 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยแตะจุดสูงสุดนับแต่กลาง พ.ย.ที่ 46.18 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว (Reuters)
ราคาทองบวกวันจันทร์ เพราะดอลลาร์อ่อนค่าลงไป ช่วยดึงผู้ซื้อกลับมาหลังจากร่วงลงไป 1.3% แต่การเคลื่อนไหวยังถือว่าทรงตัวก่อนที่จะมีการประชุม Fed สัปดาห์นี้ ราคาทองคำตลาดจรบวก 0.4% ปิดที่ 1,237.11 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทองคำล่วงหน้าสหรัฐส่งมอบ มิ.ย. บวก 0.8% ปิด 1,240.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)
ราคาโลหะอุตสาหกรรมร่วงในวันจันทร์ เพราะตลาดระมัดระวังมากขึ้นต่อการเติบโตของอุปสงค์ของประเทศจีนที่เป็นผู้บริโภครายใหญ่ แต่การลดลงถูกจำกัดโดยดอลลาร์ที่อ่อนค่า ทองแดงอ้างอิงตลาด LME ปิดลบ 0.7% อยู่ที่ 4.998 พันดอลลาร์ต่อตัน โลหะนี้ที่ใช้ในภาคพลังงานและการก่อสร้างเคยแตะ 5,091 ดอลลาร์สหรัฐในวันศุกร์ สูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์ (Reuters)
Thailand Research Department
Mr. Warut Siwasariyanon (No.17923) Tel: 02 680 5041
Mr. Krit Suwanpibul (No.17968) Tel: 02 680 5090
Mr. Narudon Rusme, CFA (No.29737) Tel: 02 680 5056
Mr. Napat Siworapongpun (No.49234) Tel: 02 680 5094
Ms. Sukanya Leelarwerachai (No.68790) Tel: 02 680 5331