- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 22 April 2016 22:25
- Hits: 1111
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ทิศทางตลาด
ผันผวน?ภายใต้ราคาน้ำมันล่าสุดปรับลดลงจากการที่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ออกมาส่งสัญญาณจะเพิ่มปริมาณผลิตคาดส่งผลต่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานคาดอาจมีการขายทำกำไรออกมาหลังในช่วงที่ผ่านมาปรับขึ้นรับกับราคาน้ำมันขณะที่ผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป–ECB ไม่มีการส่งสัญญาณชัดเจนเกี่ยวกับการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมแต่ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำต่อไป
ส่วนทางด้านประเด็นในประเทศคาดยังมีสัญญาณที่ดีจากFund Flow ภายใต้เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าคาดFund Flow ยังมีโอกาสไหลกลับเข้ามารวมถึง
แรงเก็งกำไรผลการดำเนินงาน–1Q/59 ที่คาดมีต่อเนื่องถึงกลางเดือนพ.ค.
นอกจากนี้คาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ(1) การเร่งรัดเปิดประมูลโครงการต่อเนื่องในช่วง2Q – 3Q/59 เช่น รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) รถไฟฟ้าสายสีเหลือง(ลาดพร้าว-สำโรง) และรถไฟฟ้าสายสีส้ม(ศูนย์วัฒนธรรม–มีนบุรี) เป็นต้นซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
(2) การปรับโครงสร้างภาษี(มีผลต่อภาษีในปี’60) เช่นเพิ่มค่าลดหย่อนจากเดิม30,000 บาทเป็น60,000 บาทและหักค่าใช้จ่ายได้50% ของเงินได้แต่ไม่เกิน100,000 บาทเป็นต้นคาดช่วยเพิ่มอำนาจซื้อและคาดเป็นSentiment ที่ดีต่อกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มที่อยู่อาศัยเช่นPS และLPN เป็นต้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงการบ้านประชารัฐ และในระยะสั้นจากมาตรการกระตุ้นอสังฯ ของภาครัฐ ที่จะหมดอายุลงปลายเดือนนี้ คาดช่วยเร่งให้มีการโอนเร็วขึ้น
นอกจากนี้ยังแนะจับตา
(1) กลุ่มการบินและสนามบินเช่นAOT, BA, AAV
(2) กลุ่มพลังงานPTT และPTTEP ยังมีความกังวลเกี่ยวกับอุปทานส่วนเกิน
(3) หุ้นกลุ่มโรงกลั่นเช่นIRPC, TOP และSPRC จะได้รับผลบวกจากค่าการกลั่นที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วง1Q/59 และคาดจะไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันจำนวนมากอีก
(4) กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น TPIPL
(5) หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเช่น โรงแรม (MINT, CENTEL)
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(-) ตลาดหุ้นต่างประเทศDJIA -113.75, NASDAQ -2.24, S&P -10.92FTSE -28.82, CAC -9.09 และDAX +14.44
ภายใต้ปัจจัยลบ(1) ราคาน้ำมันดิบWTI ที่ลดลงกว่า2% (2) ข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่มีความผันผวนโดยผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกล่าสุดลดลง6,000 ราย อยู่ที่ 247,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่พ.ย.’2516 และดีกว่าที่คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ263,000 รายขณะที่ดัชนีภาวะธุรกิจในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก–เม.ย. ติดลบที่1.6 จากระดับ12.4 เมื่อมี.ค. ซึ่งดัชนีที่อยู่ต่ำกว่า0 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัวและ(3) ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนบางแห่งในสหรัฐ เช่น ไมโครซอฟท์ และอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล อิงค์
ส่วนทางด้านตลาดยุโรปการซื้อขายเป็นไปอย่างซบเซา หลัง ECB ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ขณะที่ ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับECB ที่ระดับ-0.4% และยังคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการQE ที่ระดับ8 หมื่นล้านยูโร/เดือน
ราคาน้ำมันดิบ(NYMEX) ส่งมอบเดือน มิ.ย. -US$1.00 อยู่ที่US$43.18
ต่อบาร์เรล หลังรัสเซีย และประเทศสมาชิกในกลุ่มโอเปกบางประเทศ รวมถึงซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน และลิเบีย ได้ออกมาส่งสัญญาณว่าจะเพิ่มการผลิต
นอกจากนี้ยังได้รับแรงกดดันจากเงินสหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้น
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
20.93 1.87 3.33
ที่มา: www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย(ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 47,307.53
สถาบัน 1,795.05
บัญชีหลักทรัพย์ 524.56
ต่างประเทศ 1,848.85
ในประเทศ -4,168.46
(6) กลุ่มค้าปลีกเช่นCPALL, HMPRO และROBINS ที่คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่องจากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร3 โครงการวงเงิน93,000 ล้านบาท
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ10 ปี+0.02 อยู่ที่1.87% (ระดับสูงสุด3.77% เมื่อกพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง(VIX) +0.67 อยู่ที่13.95
หุ้นแนะนำ: TWPC
นักวิเคราะห์: จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร.02-684-8788