- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 20 April 2016 19:04
- Hits: 2017
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อบวกหรืออ่อนตัวแต่ไม่หลุด 1400'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปรับขึ้นต่อ 17.23 จุด ปิดที่ 1416.00 จุด นำโดยหุ้นใหญ่อย่าง SCC, PTT, PTTEP, ADVANC,INTUCH, DTAC, AOT, CPALL, CK, STEC, UNIQ, GL ฯลฯ โดยปัจจัยหนุน คือ การเก็งกำไรผลประกอบการ 1Q59, ครม.อนุมัติให้รฟม.ดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม 8.29 หมื่นล้านบาท และอนุมัติขยายค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนให้บุคคลธรรมดามากขึ้น รวมทั้งปรับโครงสร้างภาษีเงินได้ฯ นักลงทุนสถาบันในประเทศและพอร์ตบล.ซื้อสุทธิ ส่วนต่างชาติและรายย่อยขายสุทธิ
ปัจจัยต่างประเทศยังไม่มีเรื่องใหม่ที่มีนัยสำคัญนัก โดยความกังวลเรื่องเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วผ่อนคลายลง และประเมินว่าในปีนี้จะปรับขึ้น 1-2 ครั้งในช่วงปลายปี ส่วนราคาน้ำมันที่ดีดขึ้นในช่วงสั้นเพราะแรงงานน้ำมันหลายพันคนประท้วงก็น่าจะเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว และราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากภาวะอุปทานสูงต่อ ดังนั้นยังคงใช้กลยุทธ์ลงทุนทตามรอบต่อสำหรับหุ้นกลุ่มพลังงาน ส่วนรายงานผลประกอบการ 1Q59 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ออกมาเป็นไปในแนวทางที่คาดไว้ คือ มีการเติบโตของกำไรก่อนสำรองฯ แต่มีการตั้งสำรองค่าเผื่อฯสุงมากและเกินคาดทำให้กำไรสุทธิบรรทัดสุดท้ายบางธนาคารต่ำกว่าที่เราและตลาดประเมินไว้ ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจภายในที่ชะลอตัวนานและการส่งออกฟื้นตัวช้า อย่างไรก็ตาม เรามองว่ากลุ่มธนาคารของไทยยังสามารถซื้อสะสมเพื่อลงทุนในจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัวได้ เนื่องจากมีความมั่นคงสูง โดยเฉพาะแบงค์ที่ให้ปันผลสูง ส่วนกลุ่มอื่นๆ เป็นการเลือกซื้อรายบริษัท หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็นTMT
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นบวกแต่ยังไม่ทิ้งการแกว่งตัว แนวต้าน 1420 – 1430, (1440) แนวตัดขาดทุน คือ ค่าลบ หรือ SET ต่ำกว่า 1390 จุดสำหรับการ SCAN หุ้นสัญญาณทางเทคนิคดี ราคามีโอกาสขยับขึ้น/ทำ New High พบว่า หุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น BJCHI, GFPT, KKP, SEAFCO, TVO ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List และหุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit เมื่อราคาปรับขึ้นต่อ ได้แก่ MCS, INET, CHG, EPG, IFEC, WORK, TKN, BA, NWR, GLOW
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- สหรัฐ : ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 8.8% ในเดือนมี.ค. สู่ระดับ 1.09 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว ขณะที่การอนุญาตก่อสร้างบ้านลดลง 7.7% ในเดือนมี.ค. สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.58
• สหรัฐ : ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่ติดตามต่อในสัปดาห์นี้ ได้แก่ยอดขายบ้านมือสองเดือนมี.ค., สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จาก EIA, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจเดือนเม.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดัชนีราคาบ้านเดือนก.พ.59 และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนเม.ย.59 โดยมาร์กิต
• ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับขึ้นแต่ไม่มาก โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ที่เพิ่มขึ้นมายืนเหนือระดับ 41 ดอลลาร์/บาร์เรล ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้น รวมทั้งขานรับผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ เช่น แบงก์ ออฟ อเมริกา, โกลด์แมน แซคส์, จอห์นสันแอนด์ จอห์สัน เป็นต้น แต่มีแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าคาด
+/• ราคาน้ำมันดิบ : ปรับขึ้น…คนงานบริษัทน้ำมันคูเวตประท้วงโดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 1.30 ดอลลาร์ หรือ3.3% ปิดที่ 41.08 ดอลลาร์/บาร์เรล และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 1.12 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 44.03 ดอลลาร์/บาร์เรลเนื่องจากคนงานในอุตสาหกรรมน้ำมันของคูเวตหลายพันคนเดินหน้าประท้วงผละงานเพื่อคัดค้านแผนการลดเงินเดือน ส่งผลให้การผลิตน้ำมันของคูเวตลดลงราว 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน มาอยู่ที่ระดับ 1.1 ล้านบาร์เรล/วันโดยคูเวตเป็นสมาชิกรายใหญ่อันดับ 4 ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) อย่างไรก็ตาม มองว่าเรื่องนี้จะเป็นบวกกับกลุ่มน้ำมันในช่วงสั้นเท่านั้น และตลาดยังจะเผชิญกับภาวะอุปทานล้นต่อไปจนถึงปี 60 ตลาดคาดกันว่าการประชุมโอเปกในระดับรัฐมนตรีที่มีกำหนดในเดือนมิ.ย.59 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย น่าจะมีการพิจารณาการตรึงกำลังการผลิตตามข้อเสนอของไนจีเรีย แต่ยังไม่ได้หวังผลหรือข้อสรุปมากนัก
+ ราคาทองคำ : ปรับขึ้นแรง สัญญาทองคำตลาด COMEX(Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 19.3 ดอลลาร์ หรือ1.56% ปิดที่ระดับ 1,254.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ทั้งนี้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำอย่างคึกคัก หลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ซึ่งส่งผลให้สัญญาทองคำซึ่งซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์ มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
+ กลุ่มรับเหมา & วัสดุก่อสร้าง : ครม.อนุมัติให้รฟม.ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี วงเงิน 8.29 หมื่นล้านบาทซึ่งทางรฟม.คาดว่าจะเปิดประมูลได้ภายในเดือนมิ.ย.นี้ และเริ่มก่อสร้างก.พ.60 สำหรับส่วนงานเดินรถสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย คาดว่าคณะกรรมการPPP จะเสนอที่ประชุมครม.ในต้นเดือนพ.ค.59
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการความคืบหน้าของโครงการลงทุนภาครัฐ คือ รับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง โดยในช่วงแรกจะเป็นบวกในด้านจิตวิทยาก่อน ส่วนผลดีด้านรายได้และกำไรจะเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นการเติบโตที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมในอีก 4-5 ไตรมาสข้างหน้า หุ้นเด่นในกลุ่มรับเหมาฯคือ CK, STEC ส่วนหุ้นเด่นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง คือ SCC, TMT
+ กลุ่มค้าปลีก อาหาร ท่องเที่ยว สื่อ&บันเทิง : ครม.มีมติให้ปรับโครงสร้างภาษีและลดหย่อนสำหรับบุคคลธรรมดา ซึ่งทำให้บุคคลจะจ่ายภาษีน้อยลง โดยผู้มีเงินเดือนตั้งแต่ 2.6 หมื่นบาทขึ้นไปจึงจะเริ่มเสียภาษี ซึ่งรัฐบาลประเมินว่ามาตรการนี้จะทำให้ประชาชนจ่ายภาษีน้อยลงไป3.2 หมื่นล้านบาท และหวังว่าจะนำเงินดังกล่าวไปจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีรายได้จากการจัดเก็บภาษี VAT เพิ่มขึ้น
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ ได้แก่ ค้าปลีก อาหาร ท่องเที่ยว สื่อ&บันเทิง ซึ่งหุ้นเด่นในกลุ่มดังกล่าว ประกอบด้วย CPALL, AOT, CPF, GFPT, ERW,MINT, RS, WORK เป็นต้น
• BANPU : มีแผนเข้าถือหุ้น 29.4% ใน JEA ซึ่งเป็นผู้ผลิตก๊าซแหล่งMarcellus Shale ในสหรัฐ มูลค่าลงทุน 112 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยโครงการนี้มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก โดยผู้บริหารระบุว่าต้นทุนดำเนินงานโครงการนี้อยู่ที่ US$0.40/mmBTU และมีราคาขายUS$1.95mmBTU
ความเห็นฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ DBSV : เชื่อว่าบริษัทกำลังดำเนินการเพื่อกระจายความเสี่ยงธุรกิจให้มากขึ้น และลดการพึ่งพิงธุรกิจถ่านหินที่ยังอยู่ในแนวโน้มซบเซาลง อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังมีรายละเอียดไม่มากพอที่จะประเมินผลกระทบและมูลค่าเพิ่มจากโครงการนี้ จึงยังไม่ได้ปรับประมาณการและราคาพื้นฐานของ BANPU แต่อย่างใด
+ TMT : คาดกำไรสุทธิ 1Q59 โตแกร่ง (+246%YoY, +278%QoQ) เป็น242 ล้านบาท โดยอุปทานเหล็กในประเทศที่ตึงตัวเพราะผู้ผลิตรายใหญ่ลดการผลิตลงและมีการชะลอการนำเข้าเหล็กเมื่อยังไม่มีข้อสรุปเรื่อง AD เหล็กนำเข้าจากบราซิล ตุรกี อิหร่าน ทำให้ราคาในประเทศปรับขึ้น 5% ใน 1Q59และยังขยับขึ้นต่อในเดือนเม.ย.59 นอกจากนั้นปริมาณการก็เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งจากอุปสงค์ที่สูงขึ้นโดยเฉพาะจากกลุ่มลูกค้าดีลเลอร์ที่มีปริมาณสต็อกต่ำในช่วงปลายปี 58 และส่วนแบ่งการตลาดบริษัทเพิ่มขึ้นจากการให้บริการแบบ Solution ครบวงจร อัตรากำไรขั้นต้นใน 1Q59 พุ่งขึ้นเป็น 14.3% จาก6-8% ใน 1Q58 และ 4Q58 สำหรับแนวโน้มกำไร 2Q59 คาดว่าจะอ่อนลงQoQ แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูง (ประมาณการว่ากำไรสุทธิ 1H59 จะสูงกว่าทั้งปี58) แนะนำซื้อ โดยปรับเพิ่มราคาพื้นฐานเป็น 13 บาท อิง P/E ปี 59 ที่ 10เท่า ส่วน Dividend Yield ของปี 59 คาดไว้ที่ 9.6%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค– [email protected]