WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

CIMBบล.ซีไอเอ็มบี : Thailand Trading Picks(AM)

 

Technical highlights
SET lndex : แนวต้านสำคัญ 1370 ถ้าผ่านขึ้นไปได้ แนวต้านถัดไป 1390
 ทิศทางตลาด : SET Index ปิดที่ 1369.64 จุด เพิ่มขึ้น 12.95 จุด มูลค่าการซื้อขาย 43,488 ล้านบาท ตลาดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลงเกิดสัญญาณขายทางเทคนิคลงไปทดสอบแนวรับสำคัญที่ 1350 จุด แต่ยังสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาปิดที่บริเวณแนวรับสำคัญ 1370 จุด
  Daily: ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคหลังจากปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1350 จุด แต่การฟื้นตัวในระยะสั้นเข้าใกล้แนวต้านสำคัญที่ 1370 จุดบริเวณเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ถ้าสามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้จะมีแนวต้านถัดไปที่ 1390 จุด แต่ถ้าถูกขายต่อเนื่องที่แนวต้านสำคัญ แนวโน้มหลักยังมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1340 และ 1320 จุด แต่เราแนะนำให้ใช้เป็นจังหวะเข้าซื้อเพิ่ม
  กลยุทธ์ :SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาทดสอบแนวต้านสำคัญในระยสั้นที่ 1370 จุดบริเวณเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ถ้าสามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่ 1390 จุด แต่ถ้าไม่สามารถกลับขึ้นไปเหนือระดับ 1370 จุดได้ เราแนะนำให้รอเข้าซื้อหุ้นที่บริเวณ 1340 และ 1320 จุด

Asia Fund Flow : 8 เมษายน 2559
  ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ขายสุทธิ 35 ล้านเหรียญ
  ตลาดหุ้นไต้หวัน ซื้อสุทธิ 21 ล้านเหรียญ รวมทั้งสัปดาห์ขายสุทธิ 369 ล้านเหรียญ
  ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ขายสุทธิ 4 ล้านเหรียญ รวมทั้งสัปดาห์ซื้อสุทธิ 98 ล้านเหรียญ
  ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ขายสุทธิ 3 ล้านเหรียญ รวมทั้งสัปดาห์ขายสุทธิ 35 ล้านเหรียญ
  ตลาดหุ้นไทย ขายสุทธิ 51 ล้านเหรียญ รวมทั้งสัปดาห์ขายสุทธิ 208 ล้านเหรียญ

Most Active Value: แนวรับ แนวต้าน
ADVANC ซื้อที่แนวรับ 152 แนวต้าน 160 และ 165 155 / 154 158 / 160
KBANK สัญญาณฟื้นตัว แนวโน้มขึ้นทดสอบ 165 และ 167 158 / 156 160 / 162
lNTUCH ซื้อที่แนวรับ 52.00 และ 50.00 แนวต้าน 54.00 และ 55.00 53.00 / 52.00 54.00 / 55.00
BBL ซื้อที่แนวรับ 160 และ 158 แนวต้าน 165 และ 167 162 / 161 164 / 165
AOT สัญญาณฟื้นตัว แนวโน้มขึ้นทดสอบ 397-398 แนวรับ 380 386 / 384 394 / 397
DTAC รอซื้อเพิ่มที่แนวรับ 32.00 และ 31.00 แนวต้าน 36.00 และ 38.00 33.50 / 33.00 34.50 / 35.00
BH สัญญาณขาย แนวโน้มลงทดสอบ 184 และ 178 แนวต้านสำคัญ 206-208 197 / 195 200 / 202
SCB สัญญาณฟื้นตัว แนวต้าน 134-135 แนวรับถัดไป 125 130 / 128 132 / 134
CPALL แนวโน้มลงทดสอบ 44.00 และ 43.00 แนวต้าน 45.50-46.00 44.00 / 43.00 45.00 / 45.50
KTB สัญญาณฟื้นตัว แนวต้าน 18.00 เป็นจังหวะขาย แนวรับ 17.40 17.60 / 17.40 17.80 / 18.00

The Bangchak Petroleum (BCP TB; THB 30.50) - ซื้อ
  แนวต้าน : 32.00 และ 33.00
  แนวรับ : 30.50 และ 30.00


  ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากปรับตัวลดลงไปทดสอบจุดต่ำสุดเดิม แต่สามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ ล่าสุด ราคาหุ้นสามารถทะลุผ่านแนวโน้มขาลงขึ้นไปได้แล้ว
  MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเข้าใกล้ระดับ 0 เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มลงปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือแนวโน้มขึ้น RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเข้าใกล้ระดับ 60


  แนะนำซื้อ BCP โดยมีแนวรับที่ 30.50 และ 30.00 และมีแนวต้านที่ 32.00 และ 33.00 เป็นจุดขายทำกำไร
  STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 29.50 ลงไป

Star Petroleum Refining (SRPC TB; THB 11.00) - ซื้อ
  แนวต้าน : 11.60 และ 12.00
  แนวรับ : 11.00 และ 10.80
  ราคาหุ้นเคลื่อนไหวออกด้านข้างที่บริเวณเส้นค่าเฉลี่ย 10 และ 20 วัน หลังจากฟื้นตัวเหนือแนวรับของเส้นแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งเรายังคงคาดว่า แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
  MACD ปรับตัวลดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นเคลื่อนไหวเหนือแนวโน้มลง RSI เคลื่อนไหวออกด้านข้างที่ระดับ 60
  แนะนำซื้อ SPRC โดยมีแนวรับที่ 11.00 และ 10.80 และมีแนวต้านที่ 11.60 และ 12.00 เป็นจุดขายทำกำไร
  STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 10.40 ลงไป

Analysts :
Teerasak Tamavarakul +662 657-9231 - [email protected]

บล.ซีไอเอ็มบี : Investment Strategy(AM)

SET คาดกลุ่มน้ำมันหนุนดัชนีขึ้นต่อในระยะสั้น
  เมื่อวันศุกร์ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงไปทดสอบระดับ 1351 จุดและสามารถดีดตัวกลับขึ้นมาปิดบวกได้ 12.95 จุดหรือ +0.95% ปิดที่ 1,369.64 จุด โดยมีปริมาณการซื้อขาย 43,488 ล้านบาท ลดลงจากวันก่อนหน้าที่มีปริมาณการซื้อขาย 51,217 ล้านบาท เนื่องจากใกล้ช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ทำให้นักลงทุนมีการลดการซื้อขายลง หากพิจารณาการซื้อขายรายกลุ่มจะพบว่านักลงทุนต่างประเทศยังเป็นผู้ขายสุทธิออกมาต่ออีก 1,793 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันรวม 7,307 ล้านบาท (ส่งผลให้ทั้งปีมียอดซื้อสุทธิลดลงเหลือเพียง 15,691 ล้านบาท) ในขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อ 1,397 ล้านบาท โดยแรงขายหลักของนักลงทุนต่างประเทศคาดว่าจะอยู่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นหลักหลังสัปดาห์ก่อนธนาคารพาณิชย์มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (MLR) ลงซึ่งจะส่งผลลบต่อความสามารถในการทำกำไรในอนาคต (NIM จะปรับตัวลดลง) บวกกับคาดการรณ์ว่าผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของกลุ่มธนาคารจะออกมาไม่ดี
  สัปดาห์นี้ปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่จะมีผลต่อทิศทางของตลาดจะมีอยู่ 2 ประเด็น คือ 1) การประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในวันที่ 17 เม.ย. และ 2) ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนอย่างตัวเลขการส่งออกเดือนมี.ค. และตัวเลข GDP ไตรมาส 1/16 โดยแม้ว่าราคาน้ำมันจะมีการดีดตัวขึ้นแรง +2.46 ดอลลาร์/บาร์เรลหรือ +6.6% ปิดที่ 39.75 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อวันศุกร์ จากการเก็งกำไรว่าประเทศกลุ่มสมาชิกโอเปกได้บรรลุข้อตกลงในเรื่องการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลง ถึงแม้อิหร่านจะปฎิเสธที่จะทำตามข้อตกลงดังกล่าวก็ตาม บวกกับ EIA เปิดเผยว่ากำลังการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลดลง 14,000 บาร์เรลมาอยู่ที่ 9.008 ล้านบาร์เรล/วัน อย่างไรก็ตามเราคาดว่าผลการประชุมวันที่ 17 เม.ย. จะยังออกมาตามที่ตลาดคาด (ปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 5-10% ของกำลังการผลิตที่มี) หรือไม่ก็สร้างความผิดหวังให้กับตลาดได้ (คงระดับการผลิตน้ำมันเท่ากับเดือนมกราคม ซึ่งเป็นระดับการผลิตน้ำมันสูงสุดที่แต่ละประเทศทำได้อยู่แล้ว ยกเว้นซาอุฯ ที่ยังมีกำลังการผลิตเหลือที่จะผลิตเพิ่มได้อีก 2 ล้านบาร์เรล) ดังนั้นหากผลการประชุมออกมาสร้างความผิดหวังให้กับตลาดเราคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับฐานลงแรงกลับไปที่ระดับ 35 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี
  ในส่วนของตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนอย่างตัวเลขการส่งออกในวันที่ 13 เม.ย. และ GDP ในวันที่ 15 เม.ย. นั้น ตลาดมีการคาดหมายว่าตัวเลขการส่งออกเดือนมี.ค. ของจีนจะกลับมา +10% yoy หลังจากที่ลดลงไปถึง -25.4% ในเดือนก.พ. ส่วน GDP ไตรมาส 1/59 ก็คาดว่าจะออกมา +6.7% ลดลงจากไตรมาส 4/58 ที่ GDP +6.8% โดยหากตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญทั้ง 2 ตัวออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดก็จะทำให้เกิดความกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งจะส่งผลให้มีแรงขายหุ้นออกมาทั่วโลกได้เช่นกัน
  สำหรับปัจจัยภายใน ในสัปดาห์นี้ไม่มีนัยสำคัญมากนักเนื่องจากมีวันทำการแค่ 2 วันก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ ทำให้เราคาดว่าปริมาณการซื้อขายจะลดลงและดัชนีจะเริ่ม sideway เพื่อรอดูสถานการณ์หลังกลับมาจากหยุดยาวในสัปดาห์หน้า โดยปัจจัยที่นักลงทุนจับตาดูหลังสงกรานต์จะเป็นการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยเราคาดว่า KBANK (แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 202 บาท) จะรายงานผลกำไรออกมามีกำไร 9.7 พันล้านบาท (-22% yoy, +77% qoq), TISCO (แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 44 บาท) จะรายงานกำไร 1.35 พันล้านบาท (+13.4% yoy, +8.7% qoq) และ BBL (แนะนำ ขาย ราคาเป้าหมาย 156 บาท) จะรายงานกำไร 8.2 พันล้านบาท (-12.3% yoy, +7.4% qoq) โดยผลกำไรของกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ที่ปรับลดลงจากปีก่อนมาจากการเติบโตของสินเชื่อที่ทรงตัวถึงชะลอตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวลง ในขณะที่ NPLs ยังคงปรับเพิ่มขึ้นอยู่ต่อเนื่อง
  โดยแม้ว่าธนาคารพาณิชย์จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงในสัปดาห์ก่อน โดยให้เหตุผลว่าเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ (แต่ในความเป็นจริงเพราะว่าอัตราผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรปรับลดลงมามาก อย่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีปรับลดลงมาจาก 2.60% ช่งต้นปีมาอยู่ที่ 1.57% ในปัจจุบัน ส่งผลให้ธนาคารกังวลว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงกว่าการออกหุ้นกู้ในตลาดตราสารหนี้จะทำให้บริษัทขนาดใหญ่หันไปกู้ยืมผ่านทางตลาดตราสารหนี้แทนกู้จากธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน) แต่เราเชื่อว่าธนาคารพาณิชย์ยังจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีกเนื่องจากส่วนต่างของการต้นทุนการเงิน (funding cost) ในตลาดตราสารหนี้ยังคงต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์อยู่ 0.50-1.00% ขึ้นกับอันดับเครดิต (credit rating) ของบริษัทเอกชน ดังนั้นหากธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มที่จะต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกก็จะส่งผลกระทบกับผลกำไรของกลุ่ม เราแนะนำลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ลง โดยมองว่าราคาหุ้นที่เริ่มมีการรีบาวน์เป็นโอกาสในการขายที่ดี
  กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้เราคาดว่าจะมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี (PTT PTTEP PTTGC TOP SPRC IRPC BCP IVL ESSO SGP) หลังราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นแรง 6.6% ในวันศุกร์ แต่คาดว่าจะรีบาวน์ได้ไม่ไกลเนื่องจากเชื่อว่าการประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในวันที่ 17 เม.ย. จะออกมาสร้างความผิดหวังให้กับตลาดและน้ำมันจะปรับลดลงไปต่ำกว่า 35 ดอลลาร์/บาร์เรล ดังนั้นหากกลุ่มพลังงานปรับขึ้นมาแนะนำ ทยอยขายทำกำไร ส่วนกลุ่มสื่อสาร (ICT) อย่าง ADVANC INTUCH คาดว่าจะมีการรีบาวน์ต่อในวันนี้ หลังราคาปรับลดลงมากจนอัตราเงินปันผลกลับมาสูงที่ 5.8-6.4% ในขณะที่กลุ่มที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้อีกกลุ่มจะเป็นกลุ่มสินเชื่อที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง (ส่งผลให้ต้นทุนเงินกู้ต่ำลง ในขณะที่เศรษฐกิจแย่ก็จะมีคนมาใช้บริการสินเชื่อจำนำรถเพิ่มขึ้นก็จะช่วยเพิ่มรายได้และกำไรให้กับบริษัท) อย่าง SAWAD MTLS (ราคาเป้าหมาย 58 บาทและ 21 บาท) วันนี้เราให้แนวรับที่ 1360-1365 และแนวต้านที่ 1375-1380 จุด

Analysts :
Kiatkomg Decho +662 657-9236 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(AM)

lnvestment Strategy
  กลยุทธ์: กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้เราคาดว่าจะมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี (PTT PTTEP PTTGC TOP SPRC IRPC BCP IVL ESSO SGP) หลังราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นแรง 6.6% ในวันศุกร์ แต่คาดว่าจะรีบาวน์ได้ไม่ไกลเนื่องจากเชื่อว่าการประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในวันที่ 17 เม.ย. จะออกมาสร้างความผิดหวังให้กับตลาดและน้ำมันจะปรับลดลงไปต่ำกว่า 35 ดอลลาร์/บาร์เรล ดังนั้นหากกลุ่มพลังงานปรับขึ้นมาแนะนำ ทยอยขายทำกำไร ส่วนกลุ่มสื่อสาร (ICT) อย่าง ADVANC INTUCH คาดว่าจะมีการรีบาวน์ต่อในวันนี้ หลังราคาปรับลดลงมากจนอัตราเงินปันผลกลับมาสูงที่ 5.8-6.4% ในขณะที่กลุ่มที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้อีกกลุ่มจะเป็นกลุ่มสินเชื่อที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง (ส่งผลให้ต้นทุนเงินกู้ต่ำลง ในขณะที่เศรษฐกิจแย่ก็จะมีคนมาใช้บริการสินเชื่อจำนำรถเพิ่มขึ้นก็จะช่วยเพิ่มรายได้และกำไรให้กับบริษัท) อย่าง SAWAD MTLS (ราคาเป้าหมาย 58 บาทและ 21 บาท) วันนี้เราให้แนวรับที่ 1360-1365 และแนวต้านที่ 1375-1380 จุด

Themes play :
  SAWAD MTLS KTC : เราแนะนำ ซื้อเก็งกำไร SAWAD MTLS และ KTC โดยมีราคาเป้าหมาย 58 บาท, 21 บาทและ 120 บาทตามลำดับ โดยทั้ง 3 บริษัทเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ลง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการเงินของบริษัทลดลงและมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นแล้วเราคาดว่าธนาคารยังมีแนวโน้มที่จะต้องลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีกในอนาคต ซึ่งก็จะยิ่งเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับบริษัทได้เพิ่มมากขึ้นในอนาคตอีกด้วย โดยเราให้ SAWAD เป็น top pick ของเราในกลุ่มนี้จาก upside ที่สูงถึง 33% และราคาหุ้นที่ยังปรับขึ้นช้ากว่ากลุ่มโดยราคาหุ้น SAWAD +0% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ในขณะMTLS +1% และ KTC +10.6% โดยธุรกิจให้บริการสินเชื่อในประเทศไทยจะช่วยให้ SAWAD เติบโตในระยะกลาง และคาดว่าสินเชื่อของบริษัทจะขยายตัวสูงถึง 20-30% ภายในสามปีข้างหน้าทั้งจากการขยายสาขาเชิงรุกและอัตราการใช้บริการของสาขาที่เพิ่มสูงขึ้น เราจึงเชื่อว่า SAWAD จะสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจากผู้ประกอบการรายเล็กและผู้ให้เงินกู้นอกระบบ ซึ่งกำลังประสบปัญหาเรื่องภาษีและมีแหล่งเงินทุนจำกัด

ประเด็นในสัปดาห์
  13 เม.ย. : ยุโรปประกาศตัวเลข Industrial production SA MoM เดือนก.พ. จากเดือนก่อนหน้าที่ +2.1%
  13 เม.ย. : จีนประกาศตัวเลข Export YoY เดือนมี.ค. โดยตลาดคาด +10% yoy จากเดือนก่อนหน้าที่ -25.4%
  13 เม.ย. : สหรัฐประกาศตัวเลข Retail Sales Advance MoM เดือน มี.ค. จากเดือนก่อนหน้าที่ -0.1%
  14 เม.ย. : สหรัฐประกาศตัวเลข CPI YoY เดือนมี.ค. จากเดือนก่อนหน้าที่ +1.0%
  15 เม.ย. : จีนประกาศตัวเลข GDP YoY ไตรมาส 1/59 โดยตลาดคาด +6.7% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ +6.8%

Fundamental Stock :
  CENTEL : Company Note (คำแนะนำ : ถือ ราคาเป้าหมาย 44 บาท)
  ADVANC : Company Note (คำแนะนำ : ซื้อ ราคาเป้าหมาย 184 บาท)

Technical Pick:
  กลยุทธ์ : SET Index แนวต้านสำคัญ 1370 ถ้าผ่านขึ้นไปได้ แนวต้านถัดไป 1390
  The Bangchak petroleum (BCP TB; THB 30.50) - ซื้อ
  Star Petroleum Refining (SRPC TB; THB 11.00) - ซื้อ

SET lndex : แนวต้านสำคัญ 1370
Retail Research Team 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!