- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 11 April 2016 19:17
- Hits: 663
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
กาปรับลดประมาณการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ทำให้ EPS ปี 2559 ของตลาดหุ้นไทยปรับลดลง จาก 90.25 บาท เหลือ 89.14 บาท ขณะที่เป้าหมาย SET อยู่ที่ 1447 จุด ประเด็นหนุนวันนี้น่าจะเป็นเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น แต่ก็อาจมีกระแสการเมืองมาสร้างแรงกดดัน เชื่อว่า SET ยังผันผวน เลือก PTT(FV@B330) WORK(FV@B45) KCE(FV@B100) เป็น Top picks
Bank ลดดอกเบี้ยกระทบกำไรตลาดฯ แต่ก็อาจมีผลดีในระยะต่อไป
สัปดาห์ที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์หลายแห่งประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.25% โดยที่ไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งถือเป็นกรณีที่อยู่เหนือความคาดหมาย ทำให้นักวิเคราะห์กลุ่มธนาคารพาณิชย์ต้องปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2559 และ 2560 ของกลุ่มฯ ลง 5% (1.05 หมื่นล้านบาท) และ 3.3% (7.86 พันล้านบาท) ตามลำดับ กระทบต่อประมาณการ EPS รวมของบริษัทจดทะเบียน ให้ปรับลดลงจาก 90.25 บาท/หุ้น ในปี 2559 เหลือ 89.14 บาท/หุ้น และทำให้ SET Index เป้าหมายปี 2559 ซึ่งกำหนดบนค่า PER 16.23 เท่า ปรับลดลง เหลือ 1447 จุด (เดิม 1465 จุด) แต่อีกมุมหนึ่งหากมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ อาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ทำให้ Bond Yield หรือ อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงในอนาคต ก็อาจเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยโดยภาพรวมในระยะต่อไป เนื่องจากจะทำให้ Market Earning Yield Gap (ส่วนต่างผลตอบแทนการลงทุนในหุ้น กับ Bond Yield) กว้างขึ้น ผลักดันให้เม็ดเงินลงทุนจากไหลกลับเข้าตลาดหุ้นได้ง่ายขึ้น และน่าจะทำให้ SET Index ซื้อขายบนค่า PER ที่สูงขึ้นได้
ปชป. ประกาศไม่หนุนร่างรัฐธรรมนูญ... การเมืองร้อนแรงขึ้น
พรรคประชาธิปัตย์ แถลงจุดยืนเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผลจากการประมวลความเห็นของสมาชิกพรรคฯ ว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะนำไปสู่การทำประชามติ มีข้อเสียมากกว่าข้อดี และไม่เห็นด้วยที่จะใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการจัดสรรอำนาจ บทบาทองค์กรของรัฐกับประชาชน ทั้งนี้ข้อเสียหลักที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ ร่างรัฐธรรมนูญมีการเบี่ยงเบนเจตนาและลดอำนาจประชาชนเมื่อเทียบกับอำนาจรัฐ ซึ่งอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งง่ายขึ้นเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ต้องมีการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ข้อเสียอีกประการหนึ่งก็คือ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในอนาคตทำได้ยาก เพราะระบุให้ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และต้องมีวุฒิสภาสนับสนุนถึง 1 ใน 3 สำหรับข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือเรื่องการปราบปรามทุจริต ในเรื่องลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ บทลงโทษคนทุจริตการเลือกตั้ง รวมถึงเรื่องที่นักการเมืองแทรกแซงกระบวนการจัดทำงบประมาณ
ทั้งนี้ก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์ จะออกมาประกาศจุดยืนดังกล่าวมาข้างต้น ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยก็ได้มีการประกาศ ในลักษณะเดียวกันออกมาเช่นกัน ประเด็นที่ต้องติดตามจากนี้ไป ก็คือกระแสของสังคมจะถูกขับเคลื่อนไปในทิศทางใด ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อกผลการลงคะแนนประชมติในวันที่ 7 ส.ค.2559 และมีผลต่อเส้นทางการเมืองของประเทศในระยะต่อไป กล่าวคือ หากผลการทำประชามติออกมาว่าเป็นการรับร่าง ก็จะนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี 2560 แต่หากในทางตรงข้าม หากผลการทำประชามติออกมาเป็นการไม่เห็นชอบ แม้การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปี 2560 แต่สภาพแวดล้อมทางการเมืองก็จะเปลี่ยนแปลงไป ประเด็นทางการเมืองจากนี้ไปคงต้องติดตามใกล้ชิดขึ้นในฐานะปัจจัยที่อาจสร้างแรงกดดันต่อ SET Index
IMF ออกรายงานเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ คาดเศรษฐกิจจีนยังชะลอตัวต่อ
ปัจจัยต่างประเทศที่จะต้องให้น้ำหนักในสัปดาห์นี้ เริ่มจาก 12 เม.ย. IMF ออกรายงาน World Economic Outlook แสดงมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ก่อนที่จะประชุมร่วมกับธนาคารโลกในวันที่ 15 เม.ย. นี้ จากนั้น 13 และ 14 เม.ย. ประชุมธนาคารกลางแคนาดา (BOC) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ตามลำดับ คาดยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ตามเดิม และ 15 เม.ย. รายงาน GDP Growth ของจีนงวด 1Q59 ชึ่งอาจจะชะลอตัวลงเหลือ 6.7%yoy จากงวด 4Q58 ที่ 6.8%yoy ภาพรวมความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะจีนที่ยังชะลอตัว คาดว่าจะกดดันให้ Fed ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย สะท้อนจากผลการสำรวจ Fed Fund Rate ที่ปรับลดลง โดยรอบ เม.ย. คาดว่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยและรอบ มิ.ย. โอกาสขึ้นดอกเบี้ยลดลงเหลือเพียง 15% (เดิม 20%)
ด้วยเหตุนี้ การใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกยังคงมีความจำเป็นต่อไป ช่วยเพิ่มสภาพคล่องโลก และหนุนสินทรัพย์เสี่ยง อาทิ ตลาดหุ้น และ สินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำและน้ำมัน ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นช่วงสั้น
ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาวในช่วงสงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐใช้มาตรการกระตุ้นการจับจ่าย ผ่านการนำใบเสร็จจากการกิน - ท่องเที่ยวมาลดหย่อนภาษี ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท ระหว่าง (9 -17เม.ย. 59) ซึ่งน่าจะดีต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการบริโภค - ท่องเที่ยว เป็นหลัก คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนการบริโภค (C) ตั้งแต่ 2Q59 เป็นต้นไป ส่วนทางด้านการลงทุน (I) เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในส่วนของการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากการรายงานปริมาณการใช้วัสดุก่อสร้างเดือน ก.พ. โดย สศค. ล่าสุด ยอดขายปูนซีเมนต์พลิกกลับมาขยายตัว 6.0% V.S. -0.3% ในเดือน ม.ค. เช่นเดียวกับภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่พลิกมาขยายตัว 3.7% V.S. -5.6% ในเดือน ม.ค. ปัจจัยหนุนน่าจะมาจากโครงการอัดฉีดเงินกองทุนหมู่บ้านละ 5 แสนบาท และโครงการอัดฉีดเงินตำบลละ 5 ล้านบาท ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนทั่วประเทศ
ส่วนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในปี 2559 อาทิ รถไฟฟ้าสายต่างๆ และมอเตอร์เวย์ คาดว่าจะมีการประมูลใน 2H59 น่าจะเป็นปัจจัยหนุนในต่อสินค้าในหมวดวัสดุก่อสร้างและ หนุนให้ (I) ทั้งปี 2559 ขยายตัวได้ตามที่สมมติฐานที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 4%
ราคาน้ำมันฟื้นช่วงสั้น ส่วนคดีความ PTT ต้องรอดูท่าทีศาลฯ รับฟ้องหรือไม่
ราคาน้ำมันโลกระยะสั้นกลับมาฟื้นตัว จากประเด็นปัญหา Oversupply ที่เชื่อว่าจะผ่อนคลายลง หลังจากมีการจัดการประชุมเพื่อหารือ คงกำลังการผลิตของผู้ผลิตในกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ในวันที่ 17 เม.ย.นี้ แม้จะยังคงมีมุมมองที่ไม่ตรงกันในผู้ผลิตบางราย ขณะที่กำลังการผลิตน้ำมันของสหรัฐยังคงลดลงต่อเนื่อง คาดการณ์กำลังการผลิตน้ำมันจะลงลงต่ำกว่า 9 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์นี้ (หลังจากลดลงติดต่อกันกว่า 11 สัปดาห์) สะท้อนจากการรายงานหลุมขุดเจาะในสัปดาห์ที่ผ่านมา ลดลง 7 หลุมเหลือ 443 หลุม ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2552 นอกจากนั้นการสำรวจของ Bloomberg พบว่านักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานในสหรัฐ เริ่มมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาน้ำมันโลกมากขึ้น โดยมีการปรับเพิ่มการประเมินเฉลี่ยราคาน้ำมันในปีนี้ ช่วงครึ่งปีหลังเฉลี่ยแตะ 38 เหรียญฯต่อบาร์เรล และในปี 2560 น่าจะขึ้นไปแตะระดับ 55-60 เหรียญฯต่อบาร์เรล ทั้งนี้เนื่องจากระดับราคาดังกล่าวต่ำกว่าต้นทุนของผู้ผลิตน้ำมันโดยใช้เทคโนโลยีอย่าง Shale oil และ Shale gas ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันการผลิต ช่วยบรรเทาปัญหา Oversupply ลงหนุนให้ราคาน้ำมันดิบโลกแกว่งตัวระยะสั้นเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน จึงยังคงแนะนำสะสม PTT, PTTEP, IRPC
ส่วนคดีความของ PTT นั้น ยังคงต้องรอดูว่าศาลจะรับคำฟ้องหรือไม่ กรณีการยื่นฟ้องร้องของ สตง. ในวันที่ 4 เม.ย. 2559 ที่ผ่านมา ประเด็นการคืนท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเบื้องต้นผู้บริหาร PTT ยืนยันว่าได้ปฎิบัติตามคำสั่งศาลตลอดมา และประเด็นการยื่นคำร้องต่อศาลเรื่องการคืนท่อส่งก๊าซฯ นี้ได้มีการยื่นฟ้องต่อศาลมาแล้ว 4 ครั้ง โดยศาลปกครองได้มีคำสั่งทั้ง 4 ครั้งว่า PTT ได้คืนและแบ่งแยกทรัพย์สินตามคำพิพากษาให้แก่กระทรวงการคลังเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นการยื่นฟ้องร้องในครั้งนี้จึงยังต้องรอดูว่าศาลจะรับคำฟ้องหรือไม่รับคำฟ้อง ซึ่งหากศาลไม่รับคำฟ้องประเด็นดังกล่าวก็จะจบหมดไป แต่หากรับคำฟ้องก็จะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งไม่สามารถระบุเวลาได้สำหรับการไต่สวนคดีความ
เข้าใกล้สงกรานต์ SET ซบเซา แต่จะกลับมาฟื้นตัวหลังเทศกาล
สัปดาห์นี้มีวันทำการเพียง 2 วันทำการ หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่วันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ จึงคาดว่ามูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 วันนี้น่าจะซบเซาลง จากข้อมูลเมื่อปี 2558 พบว่า ช่วงก่อนสงกรานต์ มูลค่าซื้อขายลดลงเหลือเฉลี่ย 3 หมื่นล้านบาท ด้วยเหตุที่นักลงทุนที่ไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงในช่วงวันหยุดยาว จึงอาจมีการขายทำกำไรหุ้นออกมา จากการรวบรวมข้อมูลของฝ่ายวิจัย 10 ปีที่ผ่านมา (2549 - 2558) พบว่า ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวลงเฉลี่ย 0.3% ในช่วง 1 สัปดาห์ ก่อนเทศกาลสงกรานต์ ด้วยโอกาสถึง 5 ใน 10 ปี แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีบางกลุ่มฯ ที่สามารถ outprtform ได้สวนตลาด คือ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มโรงพยาบาล รวมทั้งกลุ่มพลังงาน
อย่างไรก็ตาม SET มักจะปรับขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่เปิดทำการหลังเทศกาลสงกรานต์ จนกระทั่งถึงสิ้นเดือน ด้วยโอกาสที่จะเกิดขึ้นถึง 9 ใน 10 ปี ให้ผลตอบเฉลี่ยราว 2.3% โดยกลุ่มที่ outperform ได้ดีกว่าตลาด คือ กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มพลังงาน และกลุ่มบันเทิง
สำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นระยะยาว และสามารถรับกับความผันผวนของตลาดในช่วงวันหยุดได้ ฝ่ายวิจัยก็ขอแนะนำให้ถือหุ้นข้ามช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพราะจากสถิติค่อนข้างระบุชัดเจนว่า หากถือหุ้น 1 สัปดาห์ก่อนหยุดสางกรานต์ และถือหุ้นยาวไปจนถึงสิ้นเดือน เม.ย. SET จะให้ผลตอบแทนที่ดีราว 2% ด้วยโอกาสที่จะเกิดขึ้นถึง 80% สำหรับกลุ่มที่ outperform ตลาด ก็ยังคงเป็นกลุ่มโรงพยาบาล ตามด้วยกลุ่มชิ้นส่วนฯ กลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มพลังงาน
ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำหุ้น top pick BDMS (FV@B25), KCE (FV@B100), WORK (FV@B45) รวมทั้งหุ้นพลังงาน และปิโตรเคมี ทั้ง PTT (FV@B330) และ IRPC ([email protected])
ต่างชาติปรับพอร์ต โดยการเลือกขายสุทธิหุ้นในกลุ่ม TIP
วันศุกร์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ด้วยมูลค่าราว 120 ล้านเหรียญ โดยเป็นการซื้อสุทธิอยู่ 2 ประเทศ คือ เกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคราว 156 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) และไต้หวันที่ถูกซื้อสุทธิ 21 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) ตรงข้ามกับตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ที่ต่างชาติขายสุทธิ คือ อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิสุทธิเล็กน้อยราว 4 ล้านเหรียญ และ 3 ล้านเหรียญ ตามลำดับ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่ถูกขายสุทธิกว่า 51 ล้านเหรียญ หรือ 1.8 พันล้านบาท (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) ต่างกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 1.4 พันล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิสูงถึง 5.3 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 395 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์