- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 05 April 2016 16:56
- Hits: 557
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET 1,400 จุด ยังเป็นแนวต้าน โดยได้รับแรงกดดันจากหุ้นใหญ่ทั้งพลังงาน, ICT, ธ.พ. ยกเว้นหุ้นมีกำไรเด่นงวด 1Q59 (BDMS, ERW, CENTEL, WORK, PTT, IRPC, KCE) เลือก BDMS(FV@B25) WORK(FV@B45) KCE(FV@B100) เป็น Top picks ซึ่งคาดว่าหุ้นทั้ง 3 จะให้ผลตอบแทนชนะตลาดใน เม.ย. หากพิจารณาสถิติในอดีต
อินเดียเตรียมลดดอกเบี้ย vs ดัชนีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นดีขึ้น แต่มีน้ำหนักน้อย
ตลาดคาดว่าการประชุมธนาคากลางอินเดียวันนี้น่าจะลดดอกเบี้ย ฯ อีก 25-50 bps เป็นครั้งแรกของปีนี้ เหลือ 6.5% (หลังปรับลดแล้ว 4 ครั้งรวม 1.25% ในปีที่ผ่านมา) แต่น่าจะคง RRR 4% (ตั้งแต่ปี 2556) เพราะเงินเฟ้อยังต่ำกว่าคาด (เดือน ก.พ. อยู่ที่ 5.2% VS คาดการณ์ 5.5%) ผลจากราคาสินค้าที่อ่อนตัวลง สะท้อนดัชนีราคาขายส่งสินค้า (WPI) ที่ติดลบต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 เพิ่มช่องว่างให้ธนาคารกลางลดดอกเบี้ยฯ เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทั้งนี้การใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายทางการเงินของอินเดีย นั้นเป็นไปในลักษณะเดียวกับประเทศในภูมิภาค ที่ยังเผชิญปัญหาเงินเฟ้อชะลอตามราคาน้ำมัน อาทิ อินโดนีเซีย ได้ลดดอกเบี้ยแล้ว 3 ครั้งในปีนี้ (ลด 75 bps เหลือ 6.75%) ตามมาด้วยมาเลเซีย ปรับลด RRR เดือน ม.ค. ที่ผ่านมา 50 bps เหลือ 3.5% ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยหนุน money supply และตลาดหุ้น แม้อาจจะเห็นการปรับฐานในระยะสั้น ๆ ก็ตาม
ขณะที่ไทยล่าสุด ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนใน 3 เดือนข้างหน้า สิ้นสุดเดือน มี.ค. โดยสภาธุรกิจตลาดทุน (FETCO) พบว่าเพิ่มขึ้น 2% mom เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 2 เดือน และหากพิจารณารายกลุ่ม พบว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่มมากสุดราว 12.6%mom และ นักลงทุนรายบุคคลเพิ่มขึ้น 4% สวนทางกับนักลงทุนต่างประเทศที่ปรับลดลงราว 9%mom ทั้งนี้ปัจจัยหนุนที่สำคัญต่อตลาดหุ้นนั้น นักลงทุนรายบุคคล ให้น้ำหนักต่อการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ขณะที่สถาบันในประเทศให้น้ำหนักต่อ Fundflow และนโยบายทางการเงินผ่อนคลายของ Fed
ส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจแยกตามรายกลุ่มพบว่านักลงทุนรายบุคคล ชื่นชอบหมวดการแพทย์ และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ขณะที่สถาบันในประเทศและต่างประเทศ ชื่นชอบกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ธนาคารและการท่องเที่ยว เป็นต้น
ในส่วนของวันนี้ กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอ ครม.อนุมัติ ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีส้ม(ศูนย์วัฒนธรรม- มีนบุรี) โดยปรับลดวงเงินก่อสร้างลง 2.6พันล้านบาท วงเงินรวม 9.2 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะประมูลภายใน 3 เดือนข้างหน้า
ยังมีปัจจัยกดดัน..PTT ถูกฟ้องยึดท่อคืน..ADVANC ต้นทุนสูงขึ้นหากประมูลคลื่น 900
นอกจากแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในงวด 1Q59 ของหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง (yoy, qoq) ทั้งกลุ่ม ธ.พ. และ ICT ดังที่ได้กล่าวไปใน Market Talk เมื่อ 1 เม.ย. และ 4 เม.ย. ที่ผ่านมา ล่าสุดมีประเด็นที่กดดันตลาดใน 2 เรื่อง
เริ่มจาก PTT ถูกยื่นฟ้องร้องเรียกคืนท่อก๊าซอีกครั้ง โดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้โอนทรัพย์สิน (ท่อก๊าซธรรมชาติทั้งหมด) ทั้งหมดส่วนที่ยังมิได้โอน มูลค่ากว่า 5.2 หมื่นล้านบาท (มูลค่าทั้งหมด 6.8 หมื่นล้านบาท หักส่วนที่คืนไปแล้ว 1.6 หมื่นล้านบาท) ทั้งแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องเก่า ที่ศาลปกครองสูงสุดได้เคยมีคำพิพากษาแล้วเมื่อ ธ.ค. 2550 ให้แบ่งแยกทรัพย์สินส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งมีผลให้ PTT ส่งคืนทรัพย์สินบางส่วน ให้แก่กระทรวงการคลัง คิดเป็นมูลค่าราว 1.62 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ คาดว่า ผลสรุปยังต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่ง และขึ้นกับว่า ศาลจะรับคำฟ้องหรือไม่ ซึ่งฝ่ายวิจัย ASPS ยังเชื่อมั่นว่า ผลสรุปน่าจะยึดตามคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดครั้งสุดท้าย แต่เพื่อประเมินผลกระทบในกรณีที่เลวร้ายสุด (ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้น) คือ PTT ต้องโอนทรัพย์สิน 5.2 หมื่นล้านบาทไปเป็นของรัฐ และไม่มีอำนาจใดๆ ในท่อส่งก๊าซฯ อีกต่อไป จะกระทบต่อ Fair Value ลดลงเหลือราว 260 บาท แต่หากใช้เกณฑ์เดียวกับข้อสรุปปี 2550 โดย PTT โอนทรัพย์สิน 5.2 หมื่นล้านบาทให้แก่รัฐ แต่ PTT ต้องเสียค่าเช่าทรัพย์สิน (ท่อก๊าซ) ขั้นต่ำที่ 5% ของรายได้ค่าผ่านท่อ จะกระทบต่อ Fair Value ราว 10% หรืออยู่ที่ 295 บาท ซึ่งคาดทั้ง 2 กรณีไม่น่าจะเกิดขึ้น จึงยังคงประมาณการและ Fair Value เดิม จนกว่าจะเห็นความชัดเจนของคดีที่เกิดขึ้น ดังนั้นราคาหุ้น PTT ที่ปรับตัวน่าจะเป็นโอกาสสะสม เพราะเชื่อว่าปี 2559 เป็นปีที่ดีของ PTT หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายในปี 2558 (ต้องรับรู้ผลกำไรที่ลดลง/ขาดทุนตามบริษัทย่อย ทั้งในกลุ่มพลังงาน โรงกลั่น และปิโตรเคมี) ขณะที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากปลายปี 2558 เนื่องจากผู้ผลิตน้ำมันดิบโลกหันหน้ามาแก้ไขปัญหา over supply จึงยังคงยืนยัน Fair Value ที่เดิม
และตามด้วย ADVANC มีข่าวลงในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐวันนี้ว่าอาจจะยอมประมูลคลื่น 900 ที่ JAS ไม่ยอมจ่ายในราคาที่ประมูล 75,654 ล้านบาท เมื่อปลายปี 2558 แต่อย่างไรก็ตาม ADVANC จะต้องขอความเห็นจากผู้ถือหุ้นก่อน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาราว 2 เดือน ขณะที่ทาง กสทช เตรียมร่างหลักเกณฑ์การประมูลใหม่เพื่อปิดช่องว่างในอดีต โดยในเบื้องต้นจะกำหนดราคาประมูลเท่ากับผู้ประมูลครั้งก่อน ขณะที่การวางหลักประกันให้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก 5% หรือ 3,783 ล้านบาท และส่วนที่สอง 15% วงเงิน 11,348 ล้านบาท เป็นค่าชดใช้ค่าเสียหายกรณีที่ไม่มาตามกำหนด แต่ กสทช จะต้องเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (ประชาพิจารณ์) ในวันที่ 22 เม.ย. นี้
แม้ข่าวนี้จะเป็นปัจจัยเชิงลบต่อ ADVANC เพราะหมายถึงต้นทุนบริการที่เพิ่มขึ้นกว่าที่คาดไว้หลายเท่าตัว แต่ก็น่าจะเป็นผลดีในการได้คลื่นใหม่มาให้บริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น หากมองโลกในแง่ร้าย คือให้ ADVANCมีต้นทุน 900 ที่เท่ากับ JAS คาดว่าจะกระทบต่อ Fair Value ราว 20 บาท (ภายใต้สมมุติฐาน Capex ปีละ 4 หมื่นล้านบาท ในปีนี้ และ 3 หมื่นล้านบาท ปี หน้า และ Terminal growth 3%) ซึ่งจะทำให้ Fair Value ลดลงจากปัจจุบันที่ 210 บาท เหลือ 190 บาท ซึ่งเทียบกับราคาตลาดที่ลดลงมาอยู่ที่ 175 บาท ทำให้มี upside 8.5% จึงน่าจะเป็นโอกาสสะสม เมื่อราคาอ่อนตัวลง เพราะเชื่อว่า ADVANC คือ ผู้นำตลาดธุรกิจมือถือที่มีกำไรและกระแสเงินสดที่มั่นคงที่สุด พร้อมกับจ่ายเงินปันผลได้ 100% ต่อเนื่อง ตราบนานเท่านาน
แรงซื้อต่างชาติเริ่มแผ่วเบา และ สลับมาขายในบางประเทศ
วานนี้ แม้ตลาดหุ้นไต้หวันหยุดทำการเนื่องจากเป็นวันหยุด แต่ตลาดหุ้นอีก 4 แห่ง ยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่า นักลงทุนต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเล็กน้อยราว 48 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) และหากพิจารณาเป็นรายประเทศ พบว่า ตลาดหุ้นเกาหลีใต้มียอดซื้อสุทธิ 56 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) ตามมาด้วยอินโดนีเซียซื้อสุทธิราว 22 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4) ส่วนอีก 2 ประเทศที่เหลือต่างชาติสลับมาขายสุทธิ คือ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิเล็กน้อยราว 3 ล้านเหรียญ ส่วนไทยต่างชาติสลับมาขายสุทธิราว 26 ล้านเหรียญ หรือ 928 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 5 วัน) ต่างกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 279 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิกว่า 4.0 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 1.1 หมื่นล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 โดยมียอดซื้อสุทธิสะสมกว่า 5.2 หมื่นล้านบาท)
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
SET ยังถูกกดดันจากหุ้นใหญ่ที่จะที่ขึ้น XD เดือน เม.ย. วันนี้คือ KBANK
ในเดือน เม.ย. มีบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อเตรียมจ่ายเงินปันผลเป็นลำดับถัดไป ซึ่งจากที่ฝ่ายวิจัยรวบรวม พบว่า มีมากถึง 122 บริษัท โดยบริษัทที่มีสัดส่วน Market Cap ต่อ SET ตั้งแต่ 1% ที่ขึ้น XD ในเดือน เม.ย. มีรายละเอียดดังตารางด้านล่าง
โดยวานนี้ (4 เม.ย.) มีหุ้น Market Cap ใหญ่ขึ้น XD พร้อมกันถึง 3 บริษัท คือ SCC, INTUCH และ BIGC จ่ายเงินปันผลต่อหุ้น 8.50, 2.47 และ 2.62 บาท ตามลำดับ แต่ราคาหุ้น SCC และ INTUCH กลับลดลงไปถึง 10 และ 3.75 บาท (ราคาหุ้นลงมากกว่าเงินปันผลที่จ่าย) สำหรับวันนี้จะมีการขึ้น XD ของ KBANK ซึ่งตามทฤษฎีอาจกดดันดัชนีราว -0.8844 จุด ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบว่ากลุ่มหุ้นปันผลสูง มักจะปรับตัวลงในช่วงสัปดาห์แรกหลังขึ้น XD ราว 0.7% ความน่าจะเป็นที่ราคาหุ้นจะลดลงสูงถึง 60% ซึ่งการปรับลดลงนี้เป็นผลมาจากทั้ง XD effect และจะมีพฤติการของการขายทำกำไรระยะสั้น เพื่อสลับไปยังหุ้นอื่น (ที่คาดว่าจะ outperform กว่า) ซึ่งพบว่าการปรับฐานของหุ้นหลัง XD น่าจะกินเวลา 1-2 สัปดาห์ (แต่หากไม่ขาย และถือต่อไป 1.5 เดือน จะมีโอกาสราว 60% ที่หุ้นปันผลสูงจะฟื้นกลับขึ้นมา โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 2.5%)
WORK ธุรกิจดีวันดีคืน เด่นสุดในกลุ่ม
ราคาหุ้น WORK ยังปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ฝ่ายวิจัยได้ออกบทวิเคราะห์ไปตั้งต่วันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมา ถึงล่าสุดวานนี้ ราคาปรับขึ้นไปแล้วกว่า 5.2% โดยฝ่ายวิจัยมีมุมมองในเชิงบวก สะท้อนจากประมาณการฯ ของฝ่ายวิจัย ที่ค่อนข้าง in-line เมื่อเทียบกับ consensus ที่ยัง understate กว่า
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 1Q59 คาดว่า WORK จะมีกำไรสุทธิราว 30 ล้านบาท เติบโตจากงวด 4Q58 ที่มีกำไรสุทธิ 3 ล้านบาท ถึงกว่า 840%qoq และพลิกจากขาดทุน 11 ล้านบาทในงวด 1Q58 ปัจจัยหนุนมาจากส่วนแบ่งผู้ชมช่อง WORKPOINT TV เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ส่งผลให้ค่าโฆษณาเฉลี่ยต่อนาทีในงวด 1Q59 โดดเด่นมาก นอกจากนี้ แนวโน้มกำไรทั้งปีค่อนข้างสดใส มีโอกาสได้กำไรเพิ่มจากสวนสนุก Dinosaur Planet อีกราว 30 ล้านบาท รวมทั้งกำไรพิเศษอีก 50 ล้านบาทหาก กสทช. ขยายเวลายกเว้นค่าธรรมเนียมส่วนที่ต้องส่งเข้ากองทุนพัฒนาฯ
ขณะที่ราคาหุ้น WORK เดือน เม.ย. ในเชิงสถิติย้อนหลัง 10 ปีนั้น แม้โอกาสที่จะปรับขึ้นมีเพียง 50% ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยราว 7.8% แต่หากใช้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันขึ้น คือ 5 ปีล่าสุด (2554-2558) พบว่า โอกาสที่ผลตอบแทนเป็นบวกเพิ่มขึ้นเป็น 4 ใน 5 ปี ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 11%
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์