- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 30 March 2016 18:39
- Hits: 1786
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เฟดส่งสัญญาณไม่ขึ้นดอกเบี้ยเร็วช่วยหนุน'
Stock Picks-Mar 2016 : Fundamental : BA, EPG, ERW, GL, PTT
Fundamental Pick -Today: TPIPL(ดู Theme ลงทุนด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : TISCO 35%, BEC 17%, PTTEP 12%
Technical View ภาพตลาดเป็นบวกเล็กๆ
Support Resistance Stop Loss
SET 1380-1370 1400-1410,1420 ค่าลบ
SET50 885-875 900-910,920 ค่าลบ
Technical Picks - Today EPG, TPIPL, AP, INET, PLANB, WORK, TPCH, TNH
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับขึ้น ปัจจัยหนุน คือ ประธานเฟดส่งสัญญาณว่ายังไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ย เพราะเศรษฐกิจสหรัฐยังมีแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งมีความเสี่ยงจากผลกระทบของราคาน้ำมันดิ่ง & ความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุน
นอกจากนั้นในประเทศก็มีความคืบหน้าในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ โดยเมื่อวานนี้ครม.อนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูและส้มมูลค่ารวมประมาณ 1 แสนล้านบาท คาดว่าจะเริ่มประกวดราคาก่อสร้างและบริหารเดินรถในเดือนมิ.ย.นี้ (แนะนำซื้อเก็งกำไรหุ้นรับเหมาก่อสร้าง หุ้นเด่น CK, STEC, SEAFCO และซื้อลงทุนหุ้นวัสดุก่อสร้าง หุ้นเด่น SCC, TMT และ Dark Horse เป็น TPIPL)
รวมทั้ง รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเพิ่มเติมซึ่งเป็นบวกกับกลุ่มการบิน อาหาร&โรงแรม (หุ้นเด่น AOT, BA, CENTEL, ERW, MINT)
ด้าน LHBANK ก็มีความคืบหน้าเรื่องพันธมิตร โดยจะมี CTBC Bank ของไต้หวันเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน PP สัดส่วน 35.6% ที่ราคาหุ้นละ 2.2 บาท (สูงกว่าราคาปิดเมื่อวานนี้ราว 9%)
หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น TPIPL
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นบวกเล็กๆ ให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 1400-1410, 1420 จุด ค่าลบดูไม่ดี มีโอกาสลงไปที่แนวรับ 1380-1370 จุด ส่วน SET50 มีแนวต้าน 900-910, 920 จุด ค่าลบบ่งชี้ว่ามีโอกาสที่ดัชนีจะอ่อนลงไปยังแนวรับ 885-875 จุด การเก็งกำไรตามรอบจึงเน้นซื้อตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและดัชนี ส่วนการลงทุนระยะยาว แนะนำให้ทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดี โดยเฉพาะจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี และมีโอกาสทำ New High หุ้นเข้ามาใหม่เป็น EPG, TPOLY, AP, INET, TPCH, GLOBAL ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List และหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้น คือ VGI, IMPACT, CK, GFPT, PERM, TPIPL, SEAFCO, LPN, LHBANK
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ประธานเฟดส่งสัญญาณไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ย ทั้งนี้นางเยลเลนได้กล่าวย้ำในระหว่างการกล่าววสุนทรพจน์ที่สโมสรเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์ก (Economic Club of New York) เมื่อวานนี้ว่า "เฟดจะยังคงทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อพิจารณาจากแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ"รวมทั้งระบุว่าเฟดกำลังจับตาผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก, ราคาน้ำมันที่ดิ่งลง และความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุน
+ สหรัฐ : ดัชนี DJIA ปิด +97.72 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากการที่เฟดส่งสัญญาณไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ย หุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคปรับขึ้นแต่หุ้นกลุ่มธนาคารอ่อนลงเพราะดอกเบี้ยที่ต่ำกดดันส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย
+ สหรัฐ : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้นดีกว่าคาด ผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มเป็น 96.2 ในเดือนมี.ค. จาก 94.0 ในเดือนก.พ. ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 94.0
สหรัฐ : จับตาตัวเลขเศรษฐกิจที่จะรายงานในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ ซึ่งประกอบด้วย การจ้างงานภาคเอกชนทั่วสหรัฐประจำเดือนมี.ค., ดัชนีการผลิตเดือนมี.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ดัชนี PMI ภาคการผลิตที่เปิดเผยโดยมาร์กิต และตัวเลขจ้างงานภาคภาคเกษตรเดือนมี.ค.และอัตราการว่างงาน
- ราคาน้ำมันดิบ : อ่อนตัวลงเพราะกังวลสต็อกน้ำมันดิบที่สูงของสหรัฐ สัญญาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ส่งมอบเดือนพ.ค.ปิดลดลง 1.11 และ 1.13 ดอลลาร์ที่ 38.28 และ 39.14 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามลำดับ ปัจจัยกดดัน คือ ทาง API รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์สิ้นสุด 28 มี.ค.เพิ่มขึ้นอีก 2.6 ล้านบาร์เรล และตลาดไม่มั่นใจต่อผลการประชุมกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่กำหนดไว้ในวันที่ 17 เม.ย.นี้
+ ราคาทองคำ : พุ่งขึ้นรับกระแสคาดการณ์ว่าเฟดไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยสัญญาทองคำ COMEX ส่งมอบมิ.ย.59 เพิ่มขึ้น 15.50 ดอลลาร์ปิดที่ 1237.50 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
+ วานนี้ (29 มี.ค.) ครม.อนุมัติให้รฟม.ดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีส้ม โดยสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี มีวงเงินลงทุน 53,490 ล้านบาท และสายสีส้ม ช่วงลาดพร้าว-สำโรงวงเงินลงทุน 51,810 ล้านบาท การเดินรถเป็นรางเดี่ยวหรือโมโนเรล ภายใต้สัญญา PPP Net Cost คือภาคเอกชนร่วมทุนและเอกชนเก็บค่าโดยสารแล้วแบ่งเงินให้รัฐส่วนหนึ่ง โดยใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี 3 เดือน คาดว่าจะเริ่มประกวดราคาก่อสร้างและบริหารเดินรถภายในเดือน มิ.ย.59 นี้
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เป็นข่าวบวกกับกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง เราแนะนำซื้อเก็งกำไรกลุ่มรับเหมาฯ หุ้นเด่น CK, STEC, SEAFCO และทยอยซื้อลงทุนกลุ่มวัสดุก่อสร้าง หุ้นเด่น SCC, TMT และหุ้น Dark Horse เป็น TPIPL
+ LHBANK : บอร์ดธนาคารอนุมัติให้ทำ SSA MOU กับ CTBC Bank ในการเป็นพันธมิตรร่วมทุน โดย CTBC Bank ของไต้หวันจะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน PP สัดส่วน 35.6% ที่ราคาหุ้นละ 2.2 บาท (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน Investment Digest วันนี้)
IMF หนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย ทั้งนี้ IMF ประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยในปี 59 จะเติบโต 3.0% และเพิ่มเป็น 3.2% ในปี 60 ทาง IMF มีมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งและเอื้อต่อการเติบโตในระยะสั้นและระยะยาว หนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยภายใต้กรอบการเติบโตแบบยั่งยืนทางการคลัง รวมทั้งสนับสนุนโครงการลงทุนขั้นพื้นฐานที่จะช่วยส่งต่อไปยังการลงทุนภาคเอกชน และเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ เจ้าหน้าที่ IMF เสนอให้ไทยทยอยปรับขึ้น VAT จาก 7% เป็น 10% เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจน ความเสี่ยงสำคัญ คือ การปฎิรูปโครงสร้างและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ความผันผวนทางการเงินของโลก ความล่าช้าในการเบิกจ่ายเงินในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมก.พ.ติดลบน้อยลงเป็น -1.62% จาก -3.5% ในเดือนม.ค.59 อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 65.7% ในเดือนก.พ.59 สูงสุดในรอบ 11 เดือน สำหรับกลุ่มที่เป็นบวกต่อดัชนี คือ กลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติก กลุ่มอาหาร กลุ่มเครื่องประดับ กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาง และชิ้นส่วนยานยนต์ แต่กลุ่มที่เป็นลบ คือ รถยนต์ (อุปสงค์น้อยลงแต่ยังดีที่การส่งออกรถกระบะขยายตัวดี) เหล็กและเหล็กกล้า (ผู้ประกอบการที่มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินลดปริมาณการผลิต) สิ่งทอ & เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า&อิเลคทรอนิกส์ (สูญเสียตลาดให้กับประเทศเพื่อนบ้าน)
+ รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวเพิ่มเติม เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.) ครม.อนุมัติให้ 1. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนำรายจ่ายค่าสัมมนา ห้องพัก ค่าขนส่ง ช่วง 1 ม.ค.-31 ธ.ค.59 มาหักรายจ่ายได้ 2 เท่า, 2. บุคคลธรรมดานำค่าทัวร์ท่องเที่ยว หรือโรงแรมที่พัก ภายในประเทศ ช่วง 1 ม.ค.-31 ธ.ค.59 มาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท, 3. บุคคลธรรมดานำค่าอาหารเครื่องดื่ม โรงแรมที่พัก ทัวร์ท่องเที่ยวภายในประเทศช่วง 9 เม.ย.-17 เม.ย.59 มาใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท โดยต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ และไม่รวมการซื้อสุรา ไวน์ เบียร์ (บุคคลธรรมดาถ้าใช้สิทธิทั้ง 2 มาตรการจะได้ลดหย่อน 30,000 บาทในปีภาษี 59)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : นับเป็นบวกต่อธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ที่พัก และร้านอาหารใหญ่ที่อยู่ในระบบภาษีของสรรพากร โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการนี้ ได้แก่ AOT, AAV, BA, CENTEL, ERW และ MINT เนื่องจากปริมาณการใช้สนามบินเพื่อเดินทางท่องเที่ยวจะมีมากขึ้น และอัตราการเข้าพักของโรงแรม & ยอดขายอาหารเพิ่มขึ้นด้วย
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]