- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 30 March 2016 17:55
- Hits: 572
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์หยิบเงินหยิบทอง
กลยุทธ์วันนี้ Test 1400
ตลาดหุ้นวานนี้:
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ SET INDEX ยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบ 1,390 จุด +/- ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางต่อเนื่อง กลุ่มหลักอย่างธนาคาร / ขนส่ง เผชิญกับแรงขายต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มรับเหมาก่อสร้างกลับตอบรับเชิงบวกต่อการอนุมัติโครงการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX บวกเพียง 3.84 จุด มาอยู่ที่ 1,392.85 จุด มูลค่าการซื้อขายกลับมาหนาแน่น 35,656 ล้านบาท
ด้านเงินทุนต่างชาติยังคงเบาบาง แม้คงการซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 718 ล้านบาท ซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 2 อีก 2,689 ล้านบาท แต่ Short สุทธิใน SET50 Index Futures อีกครั้ง 2,590 สัญญา
ปัจจัยสำคัญวันนี้
- ติดตามภาวะการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ
- ประธานเฟด ส่งสัญญาณระมัดระวังต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น
- ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปรับตัวลงต่อ หลังอิหร่านไม่มีท่าทีของการคงกำลังการผลิตน้ำมัน
มุมมองต่อตลาด
เราคงน้ำหนักการลงทุนที่ "กลาง" วันที่ 3 พร้อมให้น้ำหนักที่ SET INDEX จะขยับในลักษณะ sideways-to-sideways-up เพื่อทดสอบด่าน 1,400 จุดในระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย เนื่องจาก
- ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาอ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ อาจทำให้เงินทุนต่างชาติกลับมาสนใจในตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย
- ความเห็นของประธานเฟดต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้เฟดต้องระมัดระวังต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ย สะท้อนโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายใน 2Q59 เป็นไปได้อย่างจำกัด
- ครม.อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง - ชมพู กระทรวงคมนาคมคาดว่าจะเปิดประมูลโครงการได้ภายในเดือนมิ.ย. 2559 ต่อยอดจากโครงการมอเตอร์เวย์ 2 เส้นทาง / รถไฟรางคู่ 1 เส้นทาง ที่จะมีการเปิดประมูลใน 2Q59 นี้
ด้วยปัจจัยข้างต้น เราเชื่อว่ากลุ่ม Domestic Play จะกลับมาน่าสนใจ นอกเหนือจากกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง / กลุ่มวัสดุก่อสร้าง แล้ว กลุ่มธนาคารที่พักฐานมา 2-3 วันคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัว รวมถึงมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของครม. ย่อมทำให้กลุ่มโรงแรม/ ค้าปลีก กลับมามีความน่าสนใจ ซึ่งจะช่วยชดเชยการอ่อนแอของกลุ่มพลังงาน ที่ราคาน้ำมันดิบยังไม่ฟื้นตัว
ขณะที่ Window Dressing รอบนี้เราไม่เชื่อว่าจะมีน้ำหนัก เพราะหากพิจารณาจาก ณ ระดับปิดสิ้นปี 2558 ที่ 1,288 จุด เท่ากับว่า SET INDEX ฟื้นตัวมาแล้วทั้งสิ้น 8.14% จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำ Window Dressing ในรอบนี้ แต่เรากลับกังวลว่า พอร์ตโบรกเกอร์ อาจตัดสินใจขายเพื่อรับรู้กำไรที่แท้จริง ซึ่งจะกดดัน SET INDEX ในช่วง 2-3 วันนี้ได้เช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุน
เราแนะนำให้ "นักลงทุนทยอยสะสมหุ้นหลักในกลุ่ม Domestic Play และทยอยลดน้ำหนักกลุ่ม ICT คาดว่าจะจบรอบการฟื้นตัวแล้ว"
Accumulative Buy: BBL/ SCC
Stock Pick of the Day
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ "สะสม" ได้แก่
1. SCC : ราคาปิด 458.00 บาท ราคาเหมาะสม 580.00 บาท
a) MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างจะตอบรับเชิงบวกจากความคืบหน้าของแผนลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ หลังวานนี้ครม.อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายเหลืองและชมพู และคาดว่าจะเปิดประมูลได้ในเดือน มิ.ย.2559
b) คงมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจปิโตรเคมีสาย HDPE ที่คาดว่าจะทรงตัวในระดับสูงจากภาวะ Supply ตึงตัว โดยส่วนต่างราคา HDPE-Naphtha ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น +1.2% wow เป็น US$824 / ตัน ทำระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน
c) คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2559 ที่ 4.49 หมื่นล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อนหน้าที่ 4.54 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปี 2558 เป็นกำไรระดับสูงสุดของบริษัท
d) Valuation ยังไม่แพง ซื้อขายระดับ PER2559 ที่ 12.2 เท่า และคาดการณ์เงินปันผลปี 2559 หุ้นละ 16 บาท คิดเป็น Dividend Yield 3.5%
2. BBL : ราคาปิด 176.00 บาท ราคาเหมาะสม 196.00 บาท
a) MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะตอบรับเชิงบวก หลังการแถลงของประธานเฟดเมื่อคืนนี้ยืนยันว่าจะยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ Dollar Index อ่อนค่ามาก และเชื่อว่าจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะตลาดหุ้นเอเซียเกิดใหม่
b) BBL ได้ประโยชน์โดยตรง หากความต้องการใช้เงินทุนของภาคธุรกิจเอกชนกลับมาขยายตัวตามความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว เนื่องจากมีสัดส่วนลูกค้าที่เป็น Corporate Loan สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร
c) จุดเด่นของ BBL อยู่ที่คุณภาพของสินทรัพย์ เนื่องจากมี Coverage Ratio สูงถึง 185% จึงเชื่อว่ามี Downside Risk ของประมาณการกำไรปี 2559 ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากมีโอกาสน้อยที่จะต้องตั้งสำรองพิเศษเพิ่มเติมในปี 2559 เพื่อเพิ่ม Coverage Ratio
d) คาดกำไรสุทธิปี 2559 เติบโต +15.1% yoy เป็น 3.9 หมื่นล้านบาท สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่คาดว่ากำไรจะเติบโต +9.4% yoy
e) Valuation ถูก ซื้อขายระดับ PER2559 ที่ 8.5 เท่า และ PBV2559 ที่ 0.87 เท่า เทียบกับกลุ่มธนาคารที่ซื้อขาย PBV2559 ที่ 1.11 เท่า
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 อีก US$97 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$57 ล้าน
Foreign Investors Action วานนี้
กระแสเงินทุนต่างยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง
นักลงทุนต่างชาติคงการซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 718 ล้านบาท รวม 2 วันทำการซื้อสุทธิ 1,057 ล้านบาท ทำให้ยอด YTD ซื้อสุทธิขยับขึ้นเล็กน้อย เป็น 8,636 ล้านบาท
ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Short สุทธิอีกครั้ง 2,590 สัญญา เชื่อว่าจะเป็นการกลับมาปิดสถานะ Long อีกครั้ง เพราะ S50H16 จะหมดอายุลงในวันนี้ ส่งผลให้ QTD นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิกลับมาต่ำกว่า 130,000 สัญญา เป็น 127,801 สัญญา
และตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้คงการซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 อีก 2,689 ล้านบาท รวม 2 วันทำการซื้อสุทธิ 3,888 ล้านบาท เทียบกับ 4 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิ 12,464 ล้านบาท ขณะที่ราคาพันธบัตรไทยแกว่งตัวในกรอบแคบ ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงเป็นวันที่ 2 อีกเพียง 0.37bps จากวันก่อนหน้าลดลง 1.04bps ปิดที่ 1.822%
Short-Selling วานนี้
ลดลงเป็นวันที่ 5 เท่ากับ 746 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 781 ล้านบาท
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 เน้น CPALL เป็นหลัก
การซื้อขายผ่าน NVDR คงการซื้อสุทธิ 1,884 ล้านบาท รวม 2 วันทำการซื้อสุทธิ 2,566 ล้านบาท โดยเน้น CPALL อย่างโดดเด่น สรุปภาพรวมได้ดังนี้
1. กลุ่มค้าปลีก ซื้อสุทธิสูงสุด 1,419 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 105 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิ 537 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 131 ล้านบาท กลุ่ม ICT ซื้อสุทธิ 224 ล้านบาท และกลุ่มอาหาร ซื้อสุทธิ 108 ล้านบาท
2. ส่วนกลุ่มธนาคารถูกขายสุทธิสูงสุด 272 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มขนส่ง ขายสุทธิ 121 ล้านบาท และกลุ่มโรงพยาบาลขายสุทธิ 107 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ประธานเฟดส่งสัญญาณระมัดระวังต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ย: ประธานเฟด กล่าวถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ จำเป็นต้องระมัดระวังต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณความเสี่ยงที่สูงขึ้น แต่การระมัดระวังต้องทำให้เฟดสามารถปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจได้เช่นกัน
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาเป็นกลาง
ดัชนี S&P CS ราคาบ้านเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 0.8% mom ใกล้เคียงกับ Bloomberg consensus คาดที่ +0.7% mom แต่เท่ากับเดือนก่อนหน้า โดยราคาบ้านเพิ่มขึ้นทั้ง 20 เมือง ในแง่ของ mom และ yoy
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนมี.ค. เท่ากับ 96.2 จุด ดีกว่า Bloomberg consensus คาดที่ 94.0 จุด และเดือนก่อนหน้าที่ 94.0 จุด ทั้งนี้สัญญาณเชิงลบในเดือนนี้คือ ระดับความยากในการหางานเริ่มมากขึ้น
ยุโรป
BOE ขึ้นอัตราดอกเบี้ย Countercyclical: ธนาคารกลาง BOE ได้ส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์ เริ่มขยายฐานทุน เพื่อสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อภายใต้เศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยคณะกรรมการนโยบายด้านการเงินของ BOE ได้เพิ่มอัตรา Countercyclical Capital Bugger สำหรับอังกฤษ เป็น 0.5% พิจารณาจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงตั้งแต่ 0% โดยธนาคารพาณิชย์จะต้องเตรียมตัวใช้เกณฑ์นี้ตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค. 2560
จีน
ไม่มี
เอเชียแปซิฟิก
การใช้จ่ายผู้บริโภคญี่ปุ่นฟื้นตัว: การใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.2% yoy โดยเป็นค่าใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาล, รถยนต์, ทานข้าวนอกบ้าน และการใช้ข้อมูลผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่การเพิ่มขึ้นยังต่ำกว่าที่ตลาดคาด 1.5% yoy หลังจากที่เดือนม.ค.หดตัว 3.1% yoy
ยอดค้าปลีกของญี่ปุ่นฟื้นตัวเช่นกัน: เดือนก.พ. ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.5% yoy แต่ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาด +1.7% yoy
ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นกลับหดตัวแรงสุดในรอบ 5 ปี: ลดลง 6.2% mom สำหรับเดือน ก.พ. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 3.7% mom และ Bloomberg Consensus คาดลดลง 5.9% mom ซึ่งเป็นการหดตัวแรงสุดนับตั้งแต่ปี 2554 รวมถึงเป็นการลดลง 1.5% จากปีก่อน ทั้งนี้อุปสงค์จากต่างประเทศที่อ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีน รวมถึงการระเบิดของโรงงานเหล็กในประเทศซึ่งเป็นซัพพลายเออร์สำคัญของโตโยต้า เป็นปัจจัยที่ทำให้ตัวเลขอ่อนแอ
ไทย
ครม.ไฟเขียวมาตรการลดหย่อนภาษีช่วงสงกรานต์: ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ในส่วนของการรับประทานอาหารนอกบ้าน โดยให้ประชาชนสามารถนำใบกำกับภาษีที่ได้จากทางร้านอาหารที่ไปใช้บริการในช่วงวันที่ 9-17 เม.ย.59 นำไปหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท และ ครม.ยังได้ต่ออายุมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศให้สามารถนำใบกำกับภาษีมาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อไปอีก 1 ปีจนถึง 31 ธ.ค.59 โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.59
ครม.ไฟเขียวโครงการรถไฟฟ้า 2 เส้นทาง: ครม. อนุมัติในหลักการโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ระยะทาง 34.5 กิโลเมตรและรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ระยะทาง 30.4 กิโลเมตร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมคาดว่าจะเปิดประมูลได้ราวเดือนมิ.ย.
IMF คาดเศรษฐกิจไทยเติบโต 3% ปีนี้: หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2558 เริ่มฟื้นตัว หลังชะลอก่อนหน้านี้ที่ชะลอลงจากปัญหาการเมือง คาดจีดีพีปี 2559 ขยายตัว 3% และปี 2560 ขยายตัว 3.2% จากความเชื่อมั่นที่ปรับดีขึ้น และราคาพลังงานต่ำ จะช่วยฟื้นตัวของการบริโภค อีกทั้งการลงทุนภาครัฐจะเป็นแรงส่งทางเศรษฐกิจ และช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในระยะต่อไป โดยเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเป็นบวก ความเสี่ยงภายนอกต่อเศรษฐกิจไทย ได้แก่ การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของจีน อาจส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวอีก ส่งผลกระทบลบต่อประเทศคู่ค้า ความผันผวนของตลาดการเงินโลก ก่อให้เกิดการไหลออกของเงินทุนและภาวะการเงินโดยรวมตึงตัว ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศคือความล่าช้าการเบิกจ่ายโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ จะกระทบอุปสงค์ในประเทศ และเงินเฟ้อติดลบนานกว่าที่คาด รวมถึงหนี้ครัวเรือนอยู่ระดับสูง จะกระทบต่อการบริโภค และฐานะของสถาบันการเงินได้
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยหดตัวน้อยกว่าคาด: ลดลง 1.62% yoy ในเดือน ก.พ. จากเดือนก่อนที่หดตัว 3.50% yoy เทียบกับ Bloomberg Consensus คาด -2.55% yoy ขณะที่เป็นการเพิ่มขึ้น 1.39% mom การลดลง yoy เป็นผลจากการผลิตที่ลดลงในอุตสาหกรรมรถยนต์, เหล็กและเหล็กกล้า, เครื่องแต่งกาย และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ ทั้งนี้สศอ.คาดดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในปี 59 จะขยายตัวได้ราว 2% จากที่ +0.34% ในปี 2558
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham Assistant Analyst 662-6586300 x 1530