- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 11 March 2016 18:22
- Hits: 2591
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"แกว่งจาก Sell on fact แต่ไม่หลุด 1360 ยังลุ้นถือต่อได้"
Stock Picks-Mar 2016 : Fundamental : BA, EPG, ERW, GL, PTT
Fundamental Pick -Today: ERW(ดู Theme ลงทุนด้านใน)
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, DCC, AP, LPN, QH, SPALI, MODERN, QTC, SNC, TCAP, TMT, BTSGIF, DIF, CPNRF, SPF
Shot Sell-Prev : EGCO 25%, PTTEP & BJC 11%
Technical View ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ และยังไม่ทิ้งรีบาวด์ก่อนลงต่ำ
Support Resistance Stop Loss
SET ซื้อค่าบวก 1390,1400 หลุด 1360
SET50 ซื้อค่าบวก 900, 910-920 หลุด 880
Technical Picks - Today TASCO, PYLON, SAMART, RATCH, TKN, ERW, EFORL, HMPRO
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : VNG (จากถือเป็นซื้อ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปิดลดลง 11.60 จุด ที่ 1,379.06 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความไม่แน่ใจว่ามาตรการของ ECB จะออกมาอย่างที่ตลาดประเมินไว้หรือไม่ ประกอบกับแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติก็แผ่วลงไปบ้าง (การซื้อสุทธิในวันลดลงเหลือเป็นหลักร้อยล้านบาท) นักลงทุนสถาบันในประเทศมีการทยอย Take profit ส่วนนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ก็เน้นลงทุนรอบสั้นอยู่แล้ว
ระยะสั้นมากตลาดมี Sell on fact ทั้งนี้แม้ว่าที่ประชุม ECB จะมีการออกมาตรการชุดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (ลดดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 0% จากเดิม 0.05%, ลดดอกเบี้ยเงินที่ธ.พ.ฝากไว้กับ ECB เป็น -0.4% จากเดิม -0.3%, เพิ่มวงเงินโครงการ QE เป็น 8 หมื่นยูโร/เดือน จากเดิม 6 หมื่นยูโร/เดือน) แต่นักลงทุนกลับขายหุ้น โดยอ้างความกังวลกับคำกล่าวของประธาน ECB ที่ส่งสัญญาณว่า ECB อาจจะไม่มีการลดดอกเบี้ยอีกแล้ว รวมทั้งการอ่อนตัวของราคาน้ำมันเพราะอาจไม่มีการประชุมใหญ่ของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันในวันที่ 20 มี.ค.นี้เนื่องจากอิหร่านไม่เข้าร่วม
อย่างไรก็ตาม การที่อัตราดอกเบี้ยติดลบในยูโรโซนและญี่ปุ่นก็กระตุ้นให้มีเม็ดเงินบางส่วนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย (รวมไทย) ทำให้ยังซื้อ/ขายเก็งกำไรเป็นรอบๆ ได้อยู่ ปัจจัยติดตามต่อไป คือ การประชุม BOJ วันที่ 14 มี.ค., การประชุม FOMC 15-16 มี.ค.ซึ่งคาดว่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย, ความคืบหน้าในการเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ เป็นต้น หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น ERW
วิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมพลิกเป็นลบเล็กๆ แต่ยังไม่ตัดเรื่องการรีบาวด์ก่อนลงแรง ให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 1390, 1400 ส่วน SET50 มีแนวต้าน 900, 910-920 สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี และมีโอกาสทำ New High หุ้นเข้ามาใหม่เป็น HMPRO, TU, ERW, TIPCO ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List และหาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้น คือ DIF, LHBANK, GPSC, EFORL, CPNRF, IRPC, VIBHA, TKN
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ ยูโรโซน : ECB ออกมาตรการกระตุ้นชุดใหญ่ เมื่อวานนี้ (10 มี.ค.) ที่ประชุม ECB มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรสู่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 0.05% ก่อนหน้านี้ และลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB สู่ระดับ -0.4% จากเดิมที่ -0.3% เพื่อสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์นำเงินไปปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจแทนที่จะนำมาพักไว้ที่ ECB และเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) สู่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโร/เดือน จากเดิมที่ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะทรงตัวต่ำไปอีกระยะหนึ่งหลังสิ้นสุดโครงการ QE ในเดือนมี.ค.60 ทั้งนี้มาตรการทั้ง 3 จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 มี.ค.59 โดย ECB หวังว่าจะช่วยให้เงินเฟ้อค่อยๆขยับขึ้นถึงเป้าหมายในระดับใกล้ 2% (จากปัจจุบันที่ -0.2%) และเศรษฐกิจในยูโรโซนฟื้นตัวขึ้น
ยูโรโซน : GDP Growth เทียบ QoQ
สหรัฐ : ตัวเลขภาคแรงงานยังแข็งแกร่ง จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ลดลง 18,000 ราย สู่ระดับ 259,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 5 มี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.58 และต่ำกว่า 275,000 รายที่คาดการณ์ไว้
ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนี DJIA ปิดอ่อนลงเล็กน้อย (-5.23 จุด) โดยตลาดกำลังย่อยว่ามาตรการกระตุ้นชุดใหญ่ของ ECB ที่ออกมาจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากแค่ไหน (เพราะพันธบัตรที่ให้ ECB เข้าซื้อก็มีปริมาณไม่มาก) และกังวลว่าหากมาตรการที่ออกมาช่วยได้ไม่มาก ทาง ECB จะดำเนินการอย่างไรต่อเพราะประธาน ECB ส่งสัญญาณว่าอาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในอนาคต
- น้ำมันดิบ : การประชุม 20 มี.ค.59 เพื่อตรึงปริมาณการผลิตอาจถูกยกเลิก การประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่ม ซึ่งเดิมมีกำหนดในวันที่ 20 มี.ค.ที่รัสเซียมีแนวโน้มว่าจะถูกยกเลิก เนื่องจากอิหร่านไม่ได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมการประชุม
- ราคาน้ำมันดิบ : อ่อนตัวลง สัญญาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ส่งมอบเม.ย.59 ปิด -0.45 และ -1.02 ดอลลาร์ ปิดที่ 37.84 และ 40.05 ดอลลาร์/บาร์เรล
+ ราคาทองคำ : ปรับขึ้น 1.22% โดยสัญญาตลาด COMEX ส่งมอบเดือนเม.ย.ปิด +15.4 ดอลลาร์ที่ระดับ 1,272.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยหนุนหลักหนึ่ง คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง โดยล่าสุดดัชนี Dollar cash index ได้ปรับลดลงเป็น 96.176 จากระดับ 97.1-97.2 ในช่วงสัปดาห์ก่อน
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวเด่น
Regional : Asia Equity Strategy : Climbing up the risk ladder ทางนักกลยุทธ์การลงทุนด้านตลาดหุ้นของ DBS group research เห็นว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นเอเชียได้รับอานิสงค์ทางบวกจากกระแสเงินทุน (Fund flow) ที่เข้าเพราะการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบของยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งเศรษฐกิจเอเชียในปีนี้มีอัตราการเติบโตที่ดีและค่อนข้างมีเสถียรภาพ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและราคาน้ำมันดิบจะยังคงมีอยู่ แต่ในบางช่วงเวลาก็เปิดโอกาสให้มีการเข้าซื้อขายเก็งกำไรหุ้นเป็นรอบๆ ด้วยเช่นกัน
ทาง DBS มีมุมมองที่เป็นบวกกับตลาดหุ้นใน 2Q59 โดยประเมินว่าราคาน้ำมันจะมีเสถียรภาพมากขึ้น ความวิตกกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัวน้อยลง เพราะประเทศชั้นนำมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมและเป็นรูปธรรม เฟดก็ไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ย จีนก็จะใช้การลงทุนกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจให้มากขึ้น กลยุทธ์ เลือกลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพดี ให้ปันผลที่สม่ำเสมอและต่อเนื่อง รวมทั้ง Valuation ไม่แพง
ให้น้ำหนักการลงทุน Overweight ในตลาดหุ้นมาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และไทย ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral ในตลาดหุ้นสิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฮ่องกง, จีน, เกาหลีใต้ และให้น้ำหนัก Underweight ในตลาดหุ้นไต้หวัน และอินเดีย
ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทย คือ การฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบทำให้ผลประกอบการกลุ่มพลังงานเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากในปี 59 (จากฐานกำไรที่ต่ำมากในปีก่อน) โดย Market Cap ของหุ้นกลุ่มพลังงานคิดเป็น 20% ของ Market Cap ของ SET50 คาดการณ์กำไรสุทธิปี 59 เติบโต 30% (แต่หากไม่รวมกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และขนส่ง กำไรสุทธิจะขยายตัว 9%) ให้ SET Index Target ระยะ 12 เดือนข้างหน้าไว้ที่ 1480 จุด
ปัญหาภัยแล้งกดดันเศรษฐกิจไทยปี 59...แต่ก็เป็นโอกาสของบางอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจรับจำนำสินทรัพย์ โดยภัยแล้งส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตทางการเกษตร และรายได้ภาคเกษตรให้ลดลง กำลังซื้อในต่างจังหวัดก็จะต่ำลงตามไปด้วย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทางด้านอาหารจะเพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับขึ้นเพราะอุปทานออกมาน้อย บริษัทที่อิงกับอุปสงค์ในต่างจังหวัดอาจถูกกระทบจากประเด็นนี้ อย่างไรก็ตาม เห็นว่ายังมีบางธุรกิจที่ไปได้ดี เช่น ธุรกิจรับจำนำ เพราะโอกาสที่จะมีคนมาใช้บริการจำนำสินทรัพย์ต่างๆ เช่น โฉนดที่ดิน, รถยนต์, รถจักรยานยนต์ ฯลฯ มีมากขึ้นในยามที่รายได้ตกแต่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หุ้นเด่นในกลุ่มนี้ของเราเป็น MTLS โดยเรามีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการของบริษัทในปี 59-60 อันเนื่องจากการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นมาต่อเนื่อง Spread ของธุรกิจดีขึ้นเพราะต้นทุนทางการเงินต่ำลง ขณะเดียวกันระดับ NPL ratio ก็ต่ำมากเพียง 0.9% ในสิ้นปี 58 และมี Coverage ratio สูงถึง 288% ฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 59-60 ของบริษัท จะเติบโต 41% และ 39% ตามลำดับ นับว่าแข็งแกร่งมาก แนะนำซื้อ MTLS โดยให้ราคาพื้นฐาน 32 บาท
+ ERW (ราคาปิด 4.30 บาท) : เริ่มขยายโรงแรมไปในต่างประเทศ โดยในปี 59 จะมีโรงแรมในต่างประเทศแห่งแรกที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีแนวโน้มการท่องเที่ยวดี สำหรับโรงแรมที่เน้นจะเป็นระดับกลางที่อยู่ในความต้องการของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ บริษัทมีเป้าหมายขยายโรงแรมเป็น 95 แห่ง และมีจำนวนห้องพัก 1 หมื่นห้องภายในปี 2563 (สิ้นปี 58 มีโรงแรมทั้งสิ้น 33 แห่ง มีจำนวนห้องพัก 5,676 ห้อง) บริษัทมีการบริหารค่าใช้จ่ายดำเนินงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนการเติบโตของผลประกอบการ คาดการณ์กำไรสุทธิปี 59 เติบโตก้าวกระโดดถึง 50% แนะนำซื้อ ทาง DBSV ให้ราคาพื้นฐาน 5.30 บาท (DCF)
นักกลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]